Home > อุปกรณ์รถยนต์ > โช๊ค h-drive s spec

โช๊ค h-drive s spec

โพสเมื่อ วันที่ 31 May 2022 | เปิดอ่าน 369 views | หมวดหมู่ : อุปกรณ์รถยนต์

โช๊ค h-drive s spec – สำหรับโช๊คอัพ S.SPEC พัฒนาน้ำมันโช๊คอัพสูตรเฉพาะสำหรับ CIVIC FC ทนความร้อนสูง เน้นความนุ่มนวล แต่ยังคงให้สมรรถนะการเกาะถนนที่ ยอดเยี่ยม ทั้งทางตรงและ ทางโค้งแบบ Hi Speed กระบอกโช๊คอัพเป็น Mono Tube ที่ระบายความร้อนได้ อย่างยอดเยี่ยม รวมถึงการปรับวาล์วภายในใหม่ (Re-valve) ลดเสียง เน้นความทนทาน และอุปกรณ์ทุกชิ้น จะผลิตให้แข็งแรง ทนทาน น้ำหนักเบา ปลอดสนิม ปรับได้ถึง 32 ระดับ ไล่เซตได้อย่างจุใจ

โช๊คอัพคืออะไรและทำหน้าที่อะไร

โช๊คอัพเป็นอุปกรณ์ หนึ่งที่สำคัญกับ ระบบช่วงล่าง ถูกติดตั้งอยู่ บริเวณล้อรถยนต์ โดยที่จะมีอะไหล่ ชิ้นหนึ่งเรียกว่า “ปีกนก” คอยเป็นตัวค้ำระหว่างตัวโช๊คอัพและตัวล้อ ให้เชื่อมต่อและ ทำงานร่วมกัน หน้าตาของโช๊คอัพนั้นหลาย ๆ คนน่าจะเห็นและรู้จักคุ้นเคย กันเป็นอย่างดี ซึ่งจะหน้าตาเหมือน กับคดสปริงยืด-หดได้ โดยมีหน้าที่หลัก ๆ ดังต่อไปนี้

  1. คอยพยุงตัวรถเพื่อกันการยุบตัว

หากรถยนต์นั้นไม่มีโช๊คอัพที่จะเข้า มาติดตั้งแล้วล่ะก็ รถนั้นจะมีอาการสั่น อย่างรุนแรง รวมไปถึงตัวรถยนต์ จะยุบตัวทำให้ไม่สามารถขับขี่ได้

  1. คอยรับแรงสั่นสะเทือน

การที่มีโช๊คอัพอยู่นั้น จะช่วยในเรื่องของ รองรับแรงกระแทกต่าง ๆ จะพื้นผิวของถนน ที่ขรุขระได้ ทำให้รถยนต์นั้นนิ่ง และนุ่มนวลมากที่สุด ในขณะที่เดินทางไปในพื้นที่ต่าง ๆ อย่างเหมาะสม โดยหลักการทำงานนั้นคือ เมื่อมีแรงกดลงมา สปริงจะทำการยุบตัวลง และค่อยคืนสภาพเดิม

ประเภทของโช๊คอัพ

อะไหล่ต่าง ๆ ภายในรถยนต์นั้น ได้มีการพัฒนามา โดยตลอด ซึ่งโช๊คอัพก็เป็นหนึ่ง ในนั้นที่มีการพัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรมมาอย่าง ต่อเนื่อง เพื่อให้มีประสิทธิภาพที่ดี และเข้ากับรถยนต์ แต่ละประเภท โดยโช๊คอัพนั้นมีอยู่ 2 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้

  1. โช๊คอัพระบบน้ำมัน 

เป็นโช๊คอัพที่ ทำงานด้วยระบบ ไฮดรอลิค ในขณะที่โช๊คอัพ แบบนี้กำลังทำงานนั้น น้ำมันไฮดรอลิคจะถูกนำเข้า มาผ่านวาล์วลูกสูบ ซึ่งเป็นเพียงการทำให้โช๊คอัพนั้นหนืด เพียงอย่างเดียว เท่านั้น โดยข้อเสียอย่าง ใหญ่หลวงของโช๊คอัพ แบบระบบน้ำมันนั่นคือ เมื่อน้ำมันไฮดรอลิก ที่อยู่ภายในนั้นเกิดฟองอากาศและแตก ขึ้นมาแล้วล่ะก็ โช๊คอัพจะไม่สามารถ ทำงานได้ชั่วขณะ ซึ่งอาจทำให้รถยนต์ นั้นสูญเสียการควบคุม และเกิดอุบัติเหตุได้

  1. โช๊คอัพระบบแก๊ส

เป็นโช๊คอัพระบบแก๊ส โดยใช้แก๊สไนโตรเจน ทำงานร่วมกับน้ำมันไฮดรอลิค เมื่อโช๊คอัพทำงาน ลูกสูบจะเคลื่อนตัว ลงมาสู่ด้านล่างของกระบอก สูบทำให้น้ำมันไฮดรอลิดถูกสูบ เข้าในส่วนบนและ ส่วนล่างของลูกสูบ หลังจากนั้นจึงอัด แก๊สไนโตรเจนให้ เกิดแรงดัน โดยสามารถแบ่ง ออกได้เป็นอีก 2 ประเภท

  • Low-Pressure Gas Shock Absorber

โช๊คอัพแรงดันต่ำ โดยทีโช๊คอัพแบบนี้จะมีส่วนที่สำหรับน้ำมันไฮดรอลิคสำรองเอาไว้ โดยจะอัดแรงดันไว้อยู่ที่ ประมาณ 10 – 15 กิโลกรัม/ตารางเซนติเมตร หรือประมาณ 142-213 ปอนด์/ตารางนิ้ว

  • Hi-Pressure Gas Shock Absorber

โช๊คอัพแรงดันสูง ซึ่งจะแตกต่างจากแบบแรกเพียงเล็กน้อย นั่นก็คือโช๊คอัพแบบนี้นั้น จะไม่มีส่วนเป็นน้ำมันไฮดรอลิคสำรอง โดยจะอัดแรงดันไว้อยู่ที่ประมาณ 20 – 30 กิโลกรัม/ตารางเซนติเมตร หรือประมาณ 284 – 427 ปอนด์/ตารางนิ้ว

วิธีดูแลรักษาโช๊คอัพควรทำอย่างไรบ้าง

อุปกรณ์และอะไหล่ทุกอย่างภายในรถยนต์นั้น ย่อมมีอายุการใช้งานที่ถูกจำกัดเอาไว้ โช๊คอัพก็เช่นเดียวกัน ซึ่งโช๊คอัพนั้นมีอายุการใช้งานอยู่ที่ประมาณ 100,000 กิโลเมตร ทั้งนี้ขึ้นอยู่การบำรุงดูแลรักษา รวมไปถึงพฤติกรรมการขับขี่ของแต่ละคนด้วย ซึ่งเดี๋ยวมาดูกันว่ามีวิธีอย่างไรบ้าง ที่จะทำให้โช๊คอัพนั้นอยู่กับรถเราไปได้นาน ๆ

1. ตรวจสอบโช๊คอัพอย่างสม่ำเสมอ

การตรวจเช็คนั้นเป็นสิ่งเบื้องต้นที่ควรทำในทุก ๆ ที่ขับขี่ไปที่ไหนก็ตามเป็นระยะทางไกล ๆ หรือเป็นไปได้ควรตรวจเช็คอย่างเดือนละ 1 ครั้ง เพื่อให้มั่นใจได้ว่าโช๊คอัพในรถยนต์ของเรานั้นยังไม่เสื่อมสภาพ ซึ่งจะทราบได้อย่างไรว่าโช๊คอัพของเรานั้นควรเปลี่ยนได้แล้ว มีวิธีสังเกตุและตรวจสอบได้ ดังนี้

  • ทิ้งน้ำหนักตัวลงที่ด้านหน้า-หลังของตัวรถ

วิธีนี้เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดและเป็นวิธีที่เรียกได้ว่า รู้ได้แทบจะทันทีว่าโช๊คอัพของคุณกำลังมีปัญหาอยู่หรือไม่ โดยให้ทิ้งน้ำหนักตัวและกดแล้วปล่อยที่บริเวณด้านหน้า-หลังของรถ หากรถนั้นมีอาการเด้งขึ้น-ลงหลายครั้ง นั่นแสดงให้เห็นว่าโช๊คอัพของคุณนั้นมีปัญหา หรือที่เรียกกันว่า “โช๊คตาย” ให้รีบเปลี่ยนทันที

  • ตรวจดูบริเวณโช๊คอัพ

ให้ลองก้มตัวลงไปดูที่บริเวณของกระบอกของโช๊คอัพดูว่า พบรอยแตก รอยร้าว หรือมีการรั่วของน้ำมันไฮดรอลิคหรือไม่ หากมีปัญหาเหล่านี้ แสดงว่าโช๊คอัพนั้นเริ่มเสื่อมคุณภาพ โดยที่ตัวซีลกระบอกสูบอาจจะรั่ว ส่งผลให้โช๊คอัพนั้นทำงานผิดปกติได้

  • สังเกตุเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วเกินกว่า 80 กม./ชั่วโมง

เมื่อขับรถที่ความเร็วสูงขึ้นมาและขับไปได้ในระยะเวลาหนึ่ง จะสังเกตุได้เลยว่า ถ้ารถนั้นมีอาการส่าย ๆ สั่น ๆ รู้สึกเหมือนรถไม่ค่ายเกาะถนนเท่าไหร่นักเมื่อต้องขับปะทะกับลม นั่นแสดงว่าโช๊คอัพนั้นเสื่อมสภาพลงแล้ว ให้ทำการเปลี่ยน

  • สังเกตุเมื่อขับผ่านถนนขรุขระ

วิธีนี้จะคล้าย ๆ กับวิธีแรกเลย คือการสังเกตุอาการเด้งของรถยนต์ที่มีมากเกินจนผิดปกติ ถ้าหากขับผ่านถนนขรุขระแบบที่ชะลอรถแล้วยังมีอาการเด้งอยู่ แสดงว่าโช๊คอัพนั้นเสื่อมสภาพลง

  • สังเกตุที่ดอกของยางรถยนต์

การสังเกตได้ง่ายที่สุดเลยเมื่อขับเสร็จแล้ว ให้ลงมาตรวจสอบที่บริเวณยางรถยนต์ หากลูบแล้วพบว่ายางนั้นสึกหรอ เป็นบั้ง ๆ นั่นแสดงว่ารถยนต์นั้นไม่มีโช๊คอัพมาช่วยรองรับน้ำหนักนั่นเอง

  • ดูความร้อนของตัวโช๊คอัพ

โดยปกติแล้วโช๊คอัพนั้นเมื่อทำงานอยู่ จะมีความร้อนจากการทำงาน แต่หากลองนำมือไปอัง ๆ หรือสัมผัสดูแล้วพบว่า โช๊คอัพ ไม่ร้อนเอาเสียเลย นั่นแสดงว่า โช๊คอัพนั้นไม่ได้มีการทำงาน เป็นอาการบ่งบอกว่าโช๊คอัพเสียได้อย่างดีเยี่ยม

2. ชะลอรถยนต์ทุกครั้งเมื่อขับผ่านเส้นทางที่ถนนขรุขระ

อย่างที่ได้บอกไปข้างต้นว่า โช๊คอัพนั้นช่วยใน เรื่องของลดแรงกระแทกต่าง ๆ จากพื้นถนน แต่ก็ใช่ว่าคุณจะสามารถ ขับรถยนต์อย่างไรก็ได้ การขับผ่านเส้นทางที่ขรุขระนั้นควร ที่จะชะลอรถแล้วค่อย ๆ ขับผ่านไป จะเป็นการถนอมโช๊คอัพ ไม่ให้ทำงานหนักและ รับกระแทกมากเกินไป ช่วยยืดอายุการใช้งานได้นานยิ่งขึ้น

3. ไม่บรรทุกของหนักจนเกินไป

การบรรทุกของหนักเกิน กว่าที่สเปคของรถยนต์รุ่นนั้น ๆ ส่งผลอย่างมากที่ทำให้โช๊คอัพนั้นต้องทำงานหนักเกินกว่าความสามารถที่ทำได้ ยิ่งถ้าใช้รถยนต์บรรทุกเป็นระยะเวลานาน ยิ่งทำให้โช๊คอัพนั้นเสื่อมสภาพได้อย่างรวจเร็วมากยิ่งขึ้น

ราคา โช๊ค h-drive s spec

h-drive s spec – สตรัทปรับเกลียว 32 ระดับ พร้อมฟังชั่นสไลด์กระบอกโช๊คในการกำหนดตวามสูง/ต่ำ ทำให้ค่าKสปริงไม่เสีย หนึบๆ ไม่กระด้างมาก ไม่แข็งมาก เหมาะสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน
รถเล็ก 27,900 บาท
รถกลาง-รถใหญ่ 29,900 บาท
รถยุโรป – รถตู้ 35,000 บาท
กลับสู่หน้าหลัก – analyticred