หลายสิ่งหลายอย่างรอบตัวเราเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา เราได้เห็นเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จากที่เราต้องเฝ้ารอชมภาพยนตร์สักเรื่องตามตารางฉายผ่านโทรทัศน์สู่ระบบสตรีมมิ่งที่ให้เราเลือกดูภาพยนตร์ได้ตามต้องการ การจากไปของม้วนวิดีโอ การก้าวข้ามขีดจำกัดของการชมภาพยนตร์ผ่านแผ่นวีซีดีและดีวีดีด้วยระบบสตรีมมิ่ง ถึงแม้หลายสิ่งจะเปลี่ยนแต่เราเชื่อมาโดยตลอดว่าไม่ว่าอะไรจะเปลี่ยนแต่หนังดีจะยังคงคุณค่าของมันไม่ว่าจะชมเมื่อไรก็ตาม
ด้วยความเชื่อเช่นนี้ จึงได้เชิญบล็อกเกอร์หนังจำนวน 30 ท่านมาร่วมกันโหวตคัดเลือกและเขียนแนะนำหนังดีจำนวน 100 เรื่อง จากหลายพันเรื่องให้ผู้อ่านทุกท่านได้สัมผัสถึงคุณค่าของหนังดีผ่านมุมมองของแต่ละท่าน ด้วยความมุ่งหวังว่าจะช่วยสร้างแรงบันดาลใจแก่ผู้อ่านที่สนใจภาพยนตร์ เพราะเราเชื่อว่าโลกใบนี้ยังมีหนังดีจำนวนมากรอให้คุณค้นพบและหยิบมาพูดคุยแลกเปลี่ยนกับคนรอบตัว
ถ้าพร้อมแล้ว มาเริ่มกันเลยครับ
นี่จึงเป็นหนังที่พูดถึงความสัมพันธ์ของมนุษย์ในแต่ล่ะช่วงวัยได้อย่างยอดเยี่ยม มันคือการเรียนรู้ และเข้าใจชีวิตอย่างแท้จริง
หนังจำลองให้เห็นถึงอิทธิพลของความไม่รู้ที่ก่อให้เกิดความกลัว แล้วจากนั้นมันจะแยกคนเป็น 2 ฝ่าย
ด้วยการกำกับที่ขึงขังและการเชือดเฉือนบทอย่างเฉียบขาดของ 2 นักแสดงนำ ทำให้หนังเป็นความระทึกโดยไม่ต้องประเคนฉาก Action ใหญ่โตแต่ประการใด บทหนังบางส่วนถูกแก้ไขโดย Quentin Tarantino (แต่ไม่ได้รับเครดิต) ใครที่เป็นแฟนตัวยงก็สามารถทดสอบความเป็นแฟนพันธ์แท้ได้ด้วยการหาว่าฉากไหนคือฉากที่ถูกแก้ไข (ถ้าไม่ลุ้นไปกับหนังจนลืมไปซะก่อน)
แน่นอนว่าถ้าคุณไม่เคยดู Ratatouille มาก่อนเชื่อเถอะว่าแทบจะร้อยทั้งร้อยย่อมต้องพากันไปฟ้องสคบ.รัวๆแล้วสั่งให้ทางการมาปิดร้านพร้อมแช่งชักหักกระดูกเจ้าของร้านไปเจ็ดแปดชั่วโคตรแน่ๆ แม้ว่าอันที่จริงแล้วอาหารที่ ”หนู” พวกนี้ทำขึ่นมามันจะอร่อยล้ำแถมอันที่จริงพวกมันก็อาจจะไม่ได้สกปรกอย่างที่พวกเราคิดกันด้วย
และสิ่งเหล่านั้นมันไม่ต่างอะไรกับอคติในใจเราเลยครับ เมื่อเราตั้งท่าจะเกลียดใครหรืออะไรไปแล้ว มันเป็นไปได้ยากมากที่จะยอมรับเขาหรือยอมรับผลงานของเขา ไม่ว่ามันจะดีงามปานใดก็ตาม ซึ่งอันที่จริงแล้วไม่ว่าใครนั้นก็ต่างมีสิ่งที่เหมาะสมกับตัวเองและมีสิ่งที่ตัวเองทำได้ดีอยู่แม้ว่าจะเป็นคนที่ตัวเล็กหรือถูกมองว่าไม่น่าชื่นชมขนาดไหนก็ตามและบางครั้งสิ่งที่พวกเขาขาดอยู่ก็แค่เพียง ”โอกาส” และสายตาที่ปราศจาก “อคติ” ก็เท่านั้นเอง
นอกเหนือจากความดีงามในสารที่หนังสามารถสื่อได้อย่างโดดเด่นทะลุความเป็นอนิเมชั่นเด็กน้อยและความสวยงามด้านภาพที่ชวนให้พุ่งไปตีตั๋วบินไปฝรั่งเศสมันแทบจะในทันทีแล้ว Ratatouille เองก็ยังเป็นอีกหนึ่งผลงานที่ช่วยตอกย้ำให้ผมตระหนักได้เสมอว่า Pixar ช่วงพีคนี่มันเทพจริงๆให้ตายสิผับผ่า!
‘Trainspotting’ จะพาคุณไปพบกับอารมณ์ที่หลากด้านหลายมุม ที่วนเวียนกับยาเสพติดที่ทั้งสุขจนล้น และน่าเวทนาจนต้องเบือนหน้าหนี กับเรื่องราวของต้นฉบับแก๊งเกรียนพันธ์แท้รุ่นพ่อ บทบาทกลุ่มชายวัยรุ่นขี้ยาของ ยวน แมคเกรเกอร์ก่อนจะมาจับดาบเลเซอร์ผันตัวเองเป็นอาจารย์เจได กับเรื่องราวที่ทั้งบ้า แสบซ่าของวัยโจ๋ในยุค 90 มาร์ค เรนตัน(ญวน แมคเกรเกอร์) และชาวแก๊งขี้ยาที่ติดเฮโรอีนงอมแงมในเมืองเอดินเบิร์ก ที่ใช้ชีวิตปล่อยผ่านไปวันๆอย่างไร้สาระ นาพาชีวิตของพวกเขาไปสู่ความล้มเหลว นาเสนอหลากมุมมองโดยมีจุดศูนย์กลางเป็นยาเสพติดที่ถ่ายทอดผ่านตัวละครเอกรับบทโดยญวน ชีวิตเรานั้นน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก หากมองโลกให้ถี่ถ้วนเราก็จะพบว่า ผู้คนรอบๆกายของเราช่างหลากหลาย เพื่อนของมาร์คเองก็มีหลายแบบตัวละครแต่ละตัวช่างแตกต่างกันอย่างมีมิติและประณีต นอกจากนั้นทุกๆสิ่งบนโลกก็มีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาของมันเสมอ แม้แต่ยาเสพติดเองก็อาจไม่ไช่คา ตอบที่ไช่ตลอดไปของพวกเขาเช่นกัน
การก้าวผ่านช่วงชีวิตที่เหลวแหลก และการตัดสินใจก้าวเดินต่อไปข้างหน้าด้วยโทนเรื่องอันบ้าบอ และตลกขบขันจะพาให้เราฟินได้ขนาดไหน ต้องลองติดตามชมเรื่องราวของพวกเขาใน ‘Trainspotting’
หนังมาพร้อมสไตล์ที่หวือหวา และแหวกแนวกว่าหนังสมครามหลายๆเรื่อง นำแสดงโดย George Clooney, Mark Wahlberg และ Ice Cube และที่น่าสนใจก็คือนี่คือผลงานการแสดง (ในบทบาทหลักของเรื่อง) ของ ผู้กำกับ Spike Jonze ก่อนที่จะสร้างชื่อในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์กับหนังเรื่องแรกอย่าง Being John Malkovich ในปีเดียวกัน
ความมหัศจรรย์ที่โนแลนทำในภาค Batman Begins ทำให้เรารู้สึกว่า นี่คือ แบทแมน ที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้จริงๆในโลกนี้ ตัวละครสมจริง มีแรงผลักที่สมเหตุสมผล และ ตรรกะความคิดที่ชวนคล้อยตาม ไม่ใช่แค่แบทแมนที่เป็นตัวละครแฟนตาซี ที่พบเห็นได้แค่ในหนังการ์ตูน นี่เป็นการทำให้ตัวละคร “แบทแมน” ได้กลับมาคืนชีพอีกครั้ง หลังจากเลือนหายไปตามกาลเวลาอยู่หลายสิบปี
อีกหนึ่งหนังที่เป็นจุดเริ่มต้นของไตรภาคหนังฮีโร่รัตติกาลแห่งยุค หนึ่งในงานมาสเตอร์พีซของ คริสโตเฟอร์ โนแลน
แบทแมนบีกิน
แม้แก่นของเรื่องจริงๆแล้วมันจะไม่ใช่อะไรใหม่สักนิดอย่างเรื่องการแอบรัก/ความสัมพันธ์ในกลุ่มเพื่อนชายเพื่อนหญิง/ความสัมพันธ์ในครอบครัว แต่สิ่งสำคัญที่ทำให้มันดีงามคือ ในขณะที่มันไม่ใหม่ แต่มันกลับมีการผสมผสานเรื่องราวในหลายๆแง่มุมความสัมพันธ์ได้ลงตัวแบบกำลังดี ไม่เยอะ ไม่ล้น ไม่เฟ้อ และมันดู ”จริง” เอามากๆ (ยกเว้นตอนท้ายนะแหม่๕๕๕๕)
จนเหมือนเป็นตัวแทนภาพความทรงจำของช่วงขณะหนึ่งในชีวิตว่าเราก็เคยทำอะไรแบบนี้นี่หว่าและทำให้เราอินได้อย่างง่ายดายเลยทีเดียว (ตรงจุดนี้ต้องชมใบเฟิร์นและมาริโอ้ด้วยนะที่แสดงได้ดีจริงๆซีนสารภาพรักเอาไปสิบดาว) และเนี่ยแหละคือสิ่งที่ผมอยาจะเห็นการวงการหนังไทยบ้านเรา คือไม่ต้องไปพยายามจะทำอะไรเกินตัวหรอก แค่มุ่งพัฒนาในสิ่งที่เราพอทำได้อย่างการขัดเกลาบทให้มันดีๆแน่นๆเข้าไว้ก่อน แค่นี้ก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้วครับ
Ghost ยังมีบทที่ดีระดับชนะรางวัลออสการ์ มีการผสมผสานระหว่างเรื่องราวความรักซาบซึ้ง ความตลกสนุกสนาน (ที่ตลกอย่างจริงจัง) กับเรื่องราวแฟนตาซีเหนือธรรมชาติและการสืบสวนเหตุฆาตรกรรมได้อย่างลงตัว มีพระเอก-นางเอก (Patrick Swayze และDemi Moore) ที่ลุคทรงเสน่ห์ขโมยใจผู้คนทั้งบ้านทั้งเมือง แถมด้วยนักแสดงสมทบที่ขโมยซีนระดับคว้ารางวัลออสการ์มาให้หนังเรื่องนี้ได้ไปอีก 1 ตัว
ถ้ายังไม่เคยดูหนังเรื่องนี้ ก็ไม่ควรเสียเวลาให้พลาดอีกต่อไป
ครึ่งชั่วโมงแรกเหมือนกับหนังสยองขวัญทั่วไป ทั้งบุคลิกของตัวละคร การเดินทางไปในที่ๆลึกลับ สถานที่ ทุกอย่างก็ยังคงเหมือนหนังสยองขวัญที่เดาง่ายเหลือเกิน จนหลังจากนั้น Cabin in the wood ทำให้เราจดจำชื่อหนังเรื่องนี้ ได้อย่างแม่นยำจำจนฝังใจเพราะเราจับทางอะไรมันไม่ได้อีกต่อไปแล้ว หนังออกนอกลู่นอกทางไปถึงขีดสุดแบบกู่ไม่กลับจนถ้าใครจับจุดประสงค์เรื่องการล้อเลียนขนบหนังไม่ได้ หนังเรื่องนี้ก็จะกลายเป็นหนังที่เลอะเทอะมากขึ้นมาทันที ถ้าจะถามว่าหนังสยองขวัญเรื่องที่ชอบมากที่สุดคือเรื่องไหน ก็คงจะตอบว่าเป็นเรื่องนี้อย่างแน่นอน
แม้หนังจะเข้าฉายตั้งแต่ปี 1998 ยุคสมัยที่ 56K Modem ยังเฟื่องฟู แต่มันก็ทำนายภาพปัจจุบันของยุค 3G ไร้สายในศตวรรษที่ 21 ได้อย่างแม่นยำ เพราะการติดตามด้วย GPS, การมีกล้องวงจรปิดในทุกหนแห่ง และการสื่อสารที่รวดเร็วฉับไว คือเรื่องธรรมดาในยุคนี้ อีกทั้งเรื่องราวที่โด่งดังไปทั่วโลกในปี 2013 ของ Edward Snowden ที่ออกมาเปิดเผยว่า NSA (National Security Agency, หน่วยงานเดียวกับในหนัง) มีการดักฟังการสื่อสารทั้งภายในและนอกสหรัฐ ไม่ต่างกับเนื้อหาของเรื่อง
อีกประเด็นที่โดดเด่นก็คือนี่คือการขับเคี่ยวระหว่าง 2 Generation เมื่อกลุ่มตัวเอกที่นำแสดงโดย Will Smith และ Gene Hackman คือตัวแทนของคนรุ่นใหญ่วัยทำงาน กำลังถูกเด็กรุ่นใหม่อย่าง Barry Pepper, Jake Busey, Scott Caan และ Jack Black (สมัยยังไม่ดัง) ตามล่าด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่
ที่สำคัญนี่คือหนัง Action/Thriller ที่มอบความบันเทิงได้อย่างดีเยี่ยม
ส่วนอีกด้านหนึ่งของความเป็นหนังตลาด หนังมาพร้อมกับความบันเทิงที่เดินเรื่องได้สนุก ฮึกเหิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉากรบอันยิ่งใหญ่และสื่อให้เห็นความกล้าหาญเกรียงไกรของซามูไร ซึ่ง “เคน วาตานาเบ้” ในบทซามูไรคัทสึโมโต้ได้มอบการแสดงเอาไว้อย่างหนักแน่นไร้ที่ติ
เรื่องราวของมาเวริคที่เต็มไปด้วยอุปสรรค ปมชีวิตอันขมขื่น และความรัก และขัดแย้ง เพื่อสานฝันในการก้าวไปสู่นักบินรบระดับท็อป ความ เท่อันน่าหลงใหลที่เคยสร้างกระแสให้หนุ่มอเมริกันน้อยใหญ่ แห่แหนกันไปลงสมัครเป็นนักบินด้วยมาดอันหล่อเหล่า มอเตอร์ไซค์คันโต และแว่นกันแดดเรย์แบนสุดเก๋า อีกทั้งเพลงประกอบอันไพเราะของยุค 80อันติดหู อย่าง Take My Breath Away ที่ยังพุ่งทะยานฮิตติดชาร์ทไปพร้อมๆกับหนังและดารานำ บวกกับฉากแอคชันกลางเวหาที่จะมันส์ระห่า ถือเป็น ฉากที่เยี่ยมยอด สาหรับคนที่ชื่นชอบในเครื่องบินรบ และสนใจในเรื่องของนักบินควรหามารับชมครับ นี่คือแรงบันดาลใจที่ดีทีเดียว
เนื้อเรื่องของหนังถือว่าสดใหม่มากเมื่อ 20 กว่าปีก่อน ว่าด้วยคนร้ายโรคจิตที่ขู่วางระเบิดรถบัสที่มีผู้โดยสารเต็มคันรถ หากรถวิ่งช้ากว่ากำหนด ทำให้รถคันนี้ต้องซิ่งนรก ขณะที่พระเอกของเราก็หาทางช่วยชีวิตคนบนรถบัสให้ปลอดภัยด้วยไหวพริบและความกล้าหาญ หนังยังทำให้เราลุ้นระทึกได้ทุกครั้งที่เอากลับมาดูใหม่
นั่นก็แปลว่าเราจะไม่ได้เห็นแค่ฮีโร่ที่มีความดีรอบด้านแต่ที่เราจะเห็นคือการตีความคำว่าฮีโร่ที่แตกต่างออกไป หนังเรื่องนี้จึงมีหน้าที่ในการเล่าเรื่องในเวลา 3 ชั่วโมงโดยที่เราก็ไม่อาจมั่นใจว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเรานั้นคือฮีโร่จริงๆหรือไม่ มันจึงมีทั้งความคลุมเครือทางศีลธรรมที่ถูกตั้งคำถามและตอบออกมาได้อย่างไม่เต็มปากถึงวิธีการที่ทำลงไปว่ามันสมควรจริงๆหรือ ? เหนือสิ่งอื่นใดนี่คือหนังที่เป็นตัวสะท้อนและเสียดสีประเทศเบอร์หนึ่งของโลกอย่างอเมริกาได้อย่างเจ็บแสบ
แต่นั่นก็เป็นการตอกย้ำเทรนด์หนังโรแมนติคคอมเมดี้ในยุคนั้นได้เป็นอย่างดี นางเอกแก่นเซี้ยว เป็นยัยจอมดื้อเอาแต่ใจ พระเอกเป็นหนุ่มซื่อแสนดี มีหนังพลอตทำนองนี้ออกมามากมายจนผู้คนเริ่มเบื่อหน่าย กระทั่ง วันหนึ่งมีข่าวว่า จะมีหนังโรแมนติคเรื่องหนึ่ง ที่เป็นการรวมทุนกันของเกาหลีและญี่ปุ่น ในชื่อ Cyborg She (ยัยนี่น่ารักจัง) ซึ่งคราวนี้จะเป็นหนังโรแมนติคอมเมดี้จากญี่ปุ่นบ้าง หน้าหนังและพลอตเรื่อง ถือว่าท้าทายคนดูพอสมควร เพราะมันดูเหมือนจะใช้เทรนด์หนังเดิมๆ แบบ “ยัยตัวร้าย กับนายเจี๋ยมเจี้ยม” แต่เปลี่ยนจากคนเป็นหุ่นยนต์ กับหนุ่มซื่อบื้อคนหนึ่ง ในแบบญี่ปุ่นๆ แต่ดันกำกับโดยคนเกาหลี ซึ่งผกก.เกาหลีที่ว่านี่ก็คือ “กว๊ากแจยอง” ผู้กำกับ My Sassy Girl และ Windstuck นั่นเอง ซึ่งนี่เป็นผลงานที่ต้องบอกว่า สามารถเทียบเคียงกับงานชิ้นที่โด่งดังของเขาอย่าง My Sassy Girl ได้เลยจริงๆ เพราะ Cyborg She เล่าเรื่องด้วยแก่นของเรื่องแบบเดิมๆคือ นางเอกสดใส เอาแต่ใจ และพระเอกซื่อบื้อแสนดี แต่หนังนั้นไปไกลกว่าการเป็นแค่หนังโรแมนติครักหนุ่มสาวธรรมดา มันยังมีการตั้งคำถามถึง คุณค่าของความเป็นมนุษย์หรือหุ่นยนตร์ แม้แต่เรื่องความรักและการเสียสละ ส่งที่โดดเด่นอย่างมากในยุคนั้นคือ ฉากแผ่นดินไหวสุดอลังการ ที่เป็นฉากสำคัญของเรื่อง ด้วยเทคนิคคอมพิวเตอร์กราฟฟิคสุดอลังการ หนังใส่รายละเอียดเรื่องโลกคู่ขนานและการย้อนเวลาลงมาในหนังได้อย่างลงตัว ในปีที่หนังเข้าฉาย หลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าฉันจะร้องไห้” นี่เป็นหนังรัก ระหว่าง มนุษย์และหุ่นยนตร์ ที่สนุกสนาน และทำให้แม้แต่ผู้ชายยังต้องน้ำตารื้น เป็นงานชิ้ยมาสเตอร์พีซของ กว๊ากแจยอง ที่สมควรแก่การยกไว้ในลิสต์หนังโรแมนติคคอมเดี้แห่งยุคของเอเชียเลยทีเดียว
สำหรับแฟน Star Trek อย่างผมแล้ว หนังสานต่อตำนานได้อย่างยอดเยี่ยม แน่นอนครับว่าหลายอย่างต่างไปจากต้นฉบับ แต่หนังก็สามารถบอกเล่าอธิบาย ผูกเรื่องโยงประเด็นจนทำให้ความเปลี่ยนแปลงทุกจุดดูสมเหตุผล เชื่อมกับ Story เดิมได้อย่างเนียน และที่อยากปรบมือดังๆ คือดาราที่คัดมานั้นใกล้เคียงคาแรคเตอร์ชุดเก่ามาก ดูแล้วยอมรับได้เต็มที่ว่าพวกเขาเหล่านี้คือลูกเรือเอนเตอร์ไพรส์ขนานแท้และดั้งเดิม
เป็นหนังอีกเรื่องที่ผมต้องหยิบมาดูทุกเดือน… ก็หนังมันกระตุ้นอะดรีนาลีนได้ชะงัดนัก
‘ข้างหลังภาพ’ คืองานที่ไม่ควรพลาด และต่อให้คุณจะใจหินแค่ไหน ก็อาจจะต้องอ่อนไหวต่อการรอคอยรักแท้ของผู้หญิงที่ชื่อว่า ‘กีรติ’ … หนึ่งในตัวละครแอบรักผู้น่าสงสารที่สุดคนหนึ่งบนโลกภาพยนตร์ เพราะถึงแม้ว่า เธอจะเข้าใจว่าความรักนั้นงดงามเพียงไหน แต่เธอก็ไม่มีวัน แม้จะได้เจอ
เรื่องราวของครอบครัวที่อบอุ่นมีลูกวัยรุ่นสองคน ทุกๆเช้าแม่จะเป็นคนขับรถไปส่ง ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี จนกระทั่ง ลูกชายและลูกสาวประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตทั้งคู่ ภายหลังพระเอกถูกรถชนเสียชีวิตอีกคน ทำให้นางเอกโทษว่าทุกอย่างเป็นความผิดตัวเอง สุดท้ายก็ฆ่าตัวตาย ในขณะที่พระเอกและลูกๆ อยู่บนสววรค์ แต่คนฆ่าตัวตายถือเป็นบาปอย่างหนึ่ง แน่นอนนางเอกตกนรก ด้วยความรักเมีย พระเอกจึงพยายามเสี่ยงลงไปนรก เพื่อตามหาภรรยาของเค้าและพากลับมาสวรรค์ด้วยกัน สุดท้ายจะช่วยได้สำเร็จหรือไม่ต้องลองหามาดู
นี่คือหนังดีอีกเรื่องที่แนะนำ นอกจากซาบซึ้ง ประทับใจในเพลงเพราะและ ภาพที่โคตรสวยสมกับที่ได้ออสการ์เทคนิคพิเศษด้านภาพในปีนั้นแล้ว ยังสอนอะไรเราได้มากมาย หนังเหมาะกับคนไทยที่นับถือศาสนาพุทธ เชื่อในเรื่องของ บาปบุญ นรกสววรค์อีกด้วย ทุกสิ่งใน โลกล้วนอนิจจังเกิดขึ้นได้ ก็ต้องมีดับไป ไม่มีอะไรยั่งยืน ไม่ว่าจะดีใจหรือเศร้าโศกฟูมฟายแค่ไหน ไม่ช้าอารมณ์นั้นจะจบ และผ่านไป แต่สิ่งที่ยังอยู่กับตัวเราก็คือปัจจุบัน เมื่อวันใดวันหนึ่งที่เราเจอเรื่องร้ายๆเกิดขึ้น ต่อให้ร้ายแรงแค่ไหน สิ่งหนึ่งที่เชื่อว่ายังมี นั่นคือ “ศรัทธา” และ “ความรัก “
JUNO คือหนึ่งในหนังที่หยิบยกเอาประเด็นเรื่องการท้องในวัยเรียนมาเล่าได้โดดเด่นเกินหน้าเกินตาหนังแนวเดียวกันไปมาก คือแม้ด้วยหน้าหนังมันจะถูกมองว่ามุ่งเน้นไปที่ปัญหาเพศสัมพันธ์ในวัยเรียนแต่อันที่จริงแล้ว JUNO มันคือหนัง Coming of Age ที่แฝงนัยมาได้อย่างแนบเนียนและเลอค่าสมรางวัลบทภาพยนตร์ยอดเยียมออสการ์ปีนั้นจริงๆ
เค้าว่ากันว่าวัยรุ่นคือวัยหัวเลี้ยวหัวต่อ บางคนอาจจะถึงจุดเลี้ยวเร็วหรือช้าไม่เท่ากัน แต่เมื่อวันหนึ่งจุดเลี้ยวนั้นดันถูกผลักดันให้เข้ามาหาเราเร็วขึ้นด้วยทารกตัวน้อยๆ สิ่งที่เลี่ยงไม่ได้คือเราจะแปลงสถานะจากเด็กไปสู่การเป็นผู้ใหญ่ในชั่วอึดใจเดียว
สิ่งที่ JUNO ทำเพื่อรับมือกับการต้องเป็นผู้ใหญ่ก็คือเธอพยายามจะเป็นผู้ใหญ่จริงๆให้ได้ จากการแสดงออกที่เห็นเด่นชัดไม่ว่าจะเป็นการพูดการจา การตัดสินใจจะแก้ปัญหาด้วยตนเอง ท่าทางมั่นอกมั่นใจ ไม่ยี่หระต่อปัญหาตรงหน้า จนบ่อยครั้งเธอก็คิดว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่ไปแล้วจริงๆ
แต่ในขณะที่ท้องของเธอโตขึ้นเรื่อยๆ เธอกลับพบว่าในความเป็นผู้ใหญ่ที่เธอพยายามจะเป็นให้ได้นั้นมันช่างซับซ้อนและเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของความรักที่ “ทำไมคนเราถึงรักกันและอยู่ด้วยกันตลอดไปไม่ได้” อย่างคนที่ครองคู่กันในแบบที่เธอคิดฝันไว้มาตลอด และตลอดระยะเวลา 9 เดือนที่อุ้มท้องมันก็ทำให้ JUNO ตระหนักได้ในที่สุดว่าการฝืนทำอะไรที่ไม่ใช่มันช่างไม่เข้าท่า สู้ปล่อยให้มันเป็นไป ค่อยๆเรียนรู้ผ่านประสบการณ์และจนกว่าจะถึงวันที่เธอ “โตแล้ว” จริงๆเธอก็น่าจะรู้เองในวันนั้นว่าคำตอบของความสัมพันธ์ซับซ้อนที่เธอตามหาน่ะมันคืออะไรกันแน่
จากเหตุผลทั้งเรื่องหน้าที่และเรื่องส่วนตัวนี่เองทำให้การไล่ล่ากันครั้งล่าสุดฌอร์นวางกำลังล้อมจับแคสเตอร์ได้เป็นผลสำเร็จและจบลงที่แคสเตอร์นอนโคม่า แต่คดียังปิดไม่ได้เนื่องจากยังมีเหตุบางประการ ฌอร์นและเพื่อนตำรวจไม่กี่คนจึงวางแผนการณ์ล้วงความลับของแคสเตอร์ด้วยการสลับใบหน้าของแคสเตอร์มาใส่ใบหน้าาของเขา ในระหว่างนั้นเองแคสเตอร์กลับฟื้นขึ้นมาและซ้อนแผนด้วยการเอาใบหน้าของฌอร์นมาใส่ให้ตัวเองบ้าง เมื่อชีวิตโดนขโมยทำให้ฌอร์นในสภาพของแคสเตอร์ต้องหาทางทวงคืนชีวิตของตัวเองและตามไล่ล่าแคสเตอร์ตัวจริงที่กำลังสนุกสนานกับการสวมรอยเป็นเขาอยู่ในตอนนี้
ด้วยพล็อตเรื่องที่ผูกเรื่องราวได้น่าติดตามและประเด็นดราม่าของตัวละครที่ถ่ายทอดออกมาได้อย่างเข้มข้นผ่านการแสดงของเคสและทราโวลต้า ทั้ง 2 สามารถถ่ายทอดบุคลิกตัวละครของตัวเองและสลับกันเป็นอีกฝ่ายได้อย่างน่าทึ่ง เคสได้เล่นเป็นไอ้โรคจิตก็จิตแตกแบบสุดๆ แต่พอมาเป็นคนดีก็ดีจนน่าสงสาร ส่วนทราโวลต้าก็ดูเป็นคนดีอยู่แล้ว พอสลับเป็นตัวร้ายก็ร้ายได้ใจ อีกทั้งฉากแอคชั่นในเรื่องก็ทำออกมาได้ดีมากและไม่ได้ยัดเยียดการสาดกระสุนมากเกินไปจนดูเฟ้อ แต่เราจะได้เห็นการออกแบบคิวบู๊และท่าทางการเคลื่อนไหวของตัวละครที่ดูมีศิลปะและรับรู้ได้ว่ามันผ่านการคิดมาแล้ว จากองค์ประกอบทั้งหมดที่ว่ามาทำให้คอหนังแอคชั่นกี่รุ่นต่อกี่รุ่นก็ไม่ควรที่จะพลาดดูหนังเรื่องนี้ด้วยประการทั้งปวง
The Insider อีกหนึ่งผลงานขึ้นหิ้งของผกก.ที่ทำหนังได้ “โคตรเท่ห์” Michael Mann เรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริงของ ดร.เจฟฟรีย์ ไวด์แกน(Russell Crowe) อดีตหัวหน้าศูนย์วิจัยบริษัทยาสูบ B&W และเป็นนักเคมีศาสตร์ตัวท๊อปของวงการคนนึง
เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อวันหนึ่งไวด์แกนโดนไล่ออกพร้อมจับเซ็นสัญญาห้ามเผยความลับบริษัท แต่ความลับนั้นมันยังคงติดค้างอยู่ในความรุ้สึกผิดชอบชั่วดีของเขา เพราะความลับนั้นมันเป็นความลับที่ส่งผลร้ายแรงมหาศาลต่อสุขภาพประชาชนสหรัฐ ในช่วงเวลานั้นเองไวด์แกนก็ได้พบกับโปรดิวเซอร์รายการทีวีโชว์ “60 minute” โลเวน เบิร์กแมน(Al Pacino) ที่อาสาจะช่วยไวด์แกนตีแผ่ความลับดำมืดอันน่ารังเกียจนี้ให้ประชาชนได้รับรู้ผ่านรายการของเขา แต่ทันทีที่ไวด์แกนตัดสินใจเปิดเผยความลับ วิบากกรรมของเขาก็เริ่มต้นขึ้น เขาโดนขู่ฆ่าทั้งครอบครัวจนทั้งตัวเขาและลูกเมียแทบจะสติแตก โดนหมายศาลข้อหาผิดสัญญาห้ามเผยความลับ โดนป้ายสีจากสื่อที่บริษัทยักษ์ใหญ่ควบคุมอยู่ แถมรายการ “60 Minute” เทปที่เขาไปออกก็โดนอำนาจลึกลับสั่งแบนเอาดื้อๆเสียอีก
ในฐานะของพ่อ
ในฐานะของสามี
ในฐานะของประชาชนสหรัฐ
ในฐานะของคนดี
ไวด์แกนควรจะทำอย่างไร และเรื่องราวมันจะไปจบลงตรงไหน เชิญหามาพิสูจน์กันได้เลยครับ รับประกันความเท่ห์ ความดิบ ความดุ ความแมน และความดราม่าตับแตก โดย Michael Mann (สมัยยังพีคๆ)ครับ
ซึ่งหากใครได้ดูสิ่งที่ปรากฏในวีดีโอม้วนนั้นจะต้องมีอันเป็นไปภายในเจ็ดวัน กับเอกลักษณ์ผีสาวผมยาวคลานออกจากทีวี การตีความใหม่ครั้งนี้ ให้ผลลัพธ์ยอดเยี่ยม แม้จะหลอนน้อยกว่าเวอร์ชั่นต้นฉบับ แต่ก็มีภาพรวมที่เป็นความบันเทิง ลงตัว ดูง่าย และคล้ายคลึงกับตัวนวนิยายมากกว่า ความโดดเด่นของเวอร์ชั่นฮอลลีวู้ดอยู่ที่พลังดาราของนางเอกนาโอมิ วัตต์ส รวมไปถึงงานโปรดักชั่น โดยเฉพาะการกำกับภาพ และเทคนิคพิเศษ ซึ่งทำได้อย่างสวยงาม สมจริง เมื่อรวมเข้ากับบทภาพยนตร์ที่แปลงจากเรื่องราวคุ้นเคยให้สากลมากขึ้น ทำให้ The Ring ฉบับฮอลลีวู้ด น่าจะเป็นหนึ่งในงานรีเมคหนังสยองขวัญเอเชียที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งเท่าที่เคยมีมา
นั่นทำให้หนังมีความเชื่อมโยงระหว่างความจริง และเรื่องแต่งอย่างมากทีเดียว ซึ่งมันทำให้คนดูเองสามารถเข้ามามีส่วนในการมอง และวิพากษ์ปัญหาที่เกิดขึ้นในครอบครัวที่แม้แต่ตัวละครเองก็ไม่มีทางรู้ มันจึงมีสถานะที่เป็นทั้งผู้เล่าเหตุการณ์ และเป็นผู้สร้างความมีส่วนร่วมของคนดูในการพิจารณาและตัดสินสิ่งที่เกิดขึ้น ในท้ายที่สุดแล้วขอบอกเลยว่าไม่มีหนังไทยจำนวนมากนักหรอกที่กล้าทำแบบหนังเรื่องนี้
ใครๆ ก็คงอยากมีความรักที่ยืนยาว แต่ไม่ค่อยมีใครได้พบรักแบบนั้นในช่วงแรกๆ ของชีวิต รักที่แสนหวานชื่นมักพัดผ่านเข้ามาในหัวใจเราได้ไม่นานแล้วมันก็จากไป เช่นความรักของผู้ชายหน้าซื่อๆ อย่างทอมคนนี้ กับซัมเมอร์ ผู้หญิงที่คิดต่างกับเขาอย่างสุดขั้ว แต่เขาไม่อาจหยุดใจไม่ให้หลงเสน่ห์ที่เอ่อล้นในตัวเธอได้ สุดท้าย เขาก็หลงรัก “ฤดูร้อน” ฤดูนั้นเข้าอย่างเต็มเปา ก่อนจะรู้ว่ามันช่างเป็นฤดูที่ร้ายกาจยิ่งนัก
หนังไม่ได้ให้อารมณ์ของการดูหนังรัก ระหว่างการดูหนัง เราจะรู้สึกเหมือนกำลังดูโศกนาฏกรรมของคนๆ หนึ่งมากกว่า
หนังเลือกเล่ากลับไปกลับมาโดยใช้ตัวเลขของวันที่พวกคบพบเจอกันเป็นตัวบอก ทำให้เราไม่สับสนดี แต่เข้าใจได้ว่ามันคือช่วงไหนของการคบกัน เปรียบเทียบสถานการณ์เดียวกันแต่คนละช่วงเวลา วันหนึ่ง เราแสดงต่อกันอย่างหวานชื่น ในสถานการณ์เดิม แต่อีกวันหนึ่ง เรากลับแสดงต่อกันแตกต่างไป ต้องยอมรับว่า คนเขียนบทเข้าใจแง่มุมความรักและแยบคายในการนำเสนอมุมมองนั้นออกมา นอกจากนี้ ยังแยบยลในวิธีการนำเสนอมากๆ ด้วยเช่นกัน
เรื่องนี้ทำให้เรารู้ว่า ความรักมันยิ่งใหญ่จริงๆ แม้ชีวิตนี้ไม่มีอะไรที่แน่นอน วันหนึ่งเราก็ต้องตาย บางทีการจากลาก็ไม่น่ากลัวเท่าการที่เราทำให้คนที่เรารักต้องเสียใจ.
สิ่งแรกๆ ที่ผู้คนจดจำมักจะเป็นความหล่อของ Brad Pitt ในหนังเรื่องนี้ หล่อละเมียด หล่อละเอียด หล่อไม่บันยะบันยัง แต่นอกเหนือจากรูปลักษณ์แล้วการแสดงของเขายังลงตัวดูดีพอๆ กับความหล่อ ในขณะที่การแสดงของอีก 2 นักแสดงหลัก ปู่ Anthony Hopkins สุดเก๋า และ Claire Forlani นางเอก ก็ดีงามไม่แพ้กัน
ความประทับใจสากลลำดับต่อไปของผู้คนมักอยู่ที่ทัศนะคติในการมองและตั้งคำถามกับชีวิต ความสัมพันธ์ เรื่องราวระหว่างความรักของพ่อกับลูกในเรื่อง
เป็นหนังความยาว 3 ชั่วโมงที่คุ้มค่าใช้เวลาด้วยเป็นที่สุด
ตัวหนังดำเนินเรื่องได้กระชับและไม่เยิ่นเย้อ ในช่วงแรกหนังจะพาเราไปรู้จักคาแรคเตอร์แต่ล่ะคนเพื่อให้เราเข้าใจที่มาที่ไปพร้อมทั้งปมประเด็นที่เป็นบาดแผลทางจิตใจของพวกเขา จากนั้นเมื่อพวกเขาทั้งหมดมาพบกันก็ทำให้เรื่องราวขมวดปมเป็นเรื่องเดียวโดยมีฉากหลังเป็นการแข่งขันแห่งเกียรติยศ ระหว่างนั้นหนังจะแทรกข้อคิดและฉากดราม่าที่สร้างแรงบันดาลใจให้เราได้ขบคิดตามไปด้วย ส่วนตัวผมว่าประโยคที่ตราตรึงและเป็นธีมหลักของหนังเรื่องนี้คือประโยคที่ว่า “เราจะทิ้งชีวิตทั้งชีวิตทำไมเพียงเพราะมันบาดเจ็บ”
Ryan Bingham นักจิตวิทยาของบริษัท ที่เชี่ยวชาญเรื่องการจัดสรรบุคลากร เขามีความสุขอยู่กับชีวิตที่ไม่มีพันธะและสนุกสนานไปกับการเดินทางที่ไม่หยุดนิ่ง จนกระทั่งเขาได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่ง Alex Goran ที่จะกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิต
ความสัมพันธ์ในมุมมองของ Ryan Bingham เป็นส่วนที่หนักที่สุดของชีวิต เปรียบกับการแบกกระเป๋าที่ต้องใส่อะไรลงไปมากมาย เขาเลยมองว่าความสัมพันธ์เป็นส่วนที่ไม่จำเป็นต้องแบก หรือใส่เอาไว้ให้เป็นภาระ…
การที่เขาเลือกจะไม่มีความสัมพันธ์กับใครเลย ซึ่งอาจเป็นเพราะ “ความกลัว” เขาได้มองเห็นด้านมืดของความสัมพันธ์ สถาบันครอบครัวที่ล้มเหลว และหากไปผูกพันกับใครอย่างลึกซึ้ง แต่เมื่อใดที่ความสัมพันธ์นั้นต้องจบลง ผลลัพธ์ที่ตามมาจะเต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่เขาเองก็ไม่อาจจะรับไหว หรืออีกนัยหนึ่ง ด้วยการงานอาชีพที่เขาทำอยู่ ต้องเดินทางอยู่ตลอดเวลา ทำให้ไม่มีเวลาผูกสัมพันธ์กับใคร
เมื่อถึงจุดๆหนึ่งของชีวิตสิ่งหนึ่งที่คนทั่วไปจะเริ่มตระหนัก คือการเห็นคุณค่าของความสัมพันธ์ และการมีคนรัก อย่างตัวเอกของหนังเรื่องนี้ ที่ได้ตระหนักว่า… “การประสบความสำเร็จ มีงานทำดีๆ มีเงินทองมากมาย บางครั้งก็อาจไม่ใช่ความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แต่การมีใครสักคนที่คอยอยู่เคียงข้าง ร่วมทุกข์ร่วมสุขไปจนแก่เฒ่าอาจเป็นความสุขที่แท้จริงของชีวิต”
จริงๆ แล้ว “10 Things I Hate About You” ก็เหมือนหนังรักวัยไฮสคูลทั่วไปที่มีปลายทางที่งานพรอม แต่ในขณะเดียวกัน หนังเรื่องนี้ก็มีเสน่ห์ มีชีวิตชีวา และมีฉากที่น่าจดจำกว่าเรื่องอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นซีนที่ Heath Ledger ร้องเพลง “I Love You Baby” หรือซีนที่ Julia Stiles อ่านกลอน “10 Things” ในตอนท้ายเรื่อง
ในหนัง พระเอกไม่ได้แค่ทำให้นางเอกตกหลุมรักเขา นางเอกก็ไม่ได้แค่ทำให้พระเอกตกหลุมรักเธอ หากแต่นักแสดงทุกคนยังสามารถทำให้คนดูตกหลุมรักตัวละครนั้นๆ ไปกับเขาด้วย และนี่คือ 1 ใน 10 เหตุผลที่เรารัก “10 Things I Hate About You” เสมอมา
ใครจะไปลืมได้ว่าเหตุการณ์ทั้งหมดทั้งมวลของต้มยำกุ้งเกิดขึ้นจากการตามหาช้าง! นี่ไม่ได้ประชด แต่มันสะท้อนให้เห็นถึงวิธีการทำหนังที่สะท้อนเอกลักษณ์ความเป็นไทยไว้อย่างเต็มพิกัด และมีเสน่ห์ในแบบของมัน ซึ่งเมื่อผนวกกับงานสร้างสรรค์คิวบู๊ที่แตกต่างจากหนังแอคชั่นยุคเดียวกัน นี่จึงเป็นอีกก้าวความภูมิใจเมื่อหนังไทยโกอินเตอร์
สิ่งที่น่าสนใจในหนังเรื่องนี้ก็คือการเล่าเรื่องนิ่งๆ แต่เฉียบคาดของสองพี่น้องโคเอ็น ที่ทำให้คนดูเย็นยะเยือกไปกับเรื่องราวที่กำลังนำเสนอได้ เช่นเดียวกับการแสดงที่ไม่ว่าจะเป็น ใครก็แล้วแต่ในหนังถือได้ว่าเป็นการคัดเลือกนักแสดงที่เหมาะสมกับบทบาท และเป็นเครื่องตอกย้ำได้ว่า ฮาเวียร์ บาร์เด็ม เจ้าของบทร้ายกาจสุดพลังเลือดเย็นอำมหิตในหนังเรื่องนี้ เหมาะสมกับรางวัลสมทบชายบนเวทีออสการ์จริงๆ ใครที่อยากจะดูหนังเครียด ลุ้นระทึก ลุ่มลึกและเต็มไปด้วยความตื่นเต้นที่แทบจะทำให้หยุดหายใจ แบบไม่ต้องมีซีนแอ็คชั่นระเบิดตู้มต้ามมาเป็นจุดขาย ก็ถือว่าเป็นหนังที่จะตอบโจทย์ได้ดีมาก
สิ่งที่ Star Trek: The Wrath of Khan ทำสำเร็จและเหนือกว่าทุกภาคก็คือการที่ผสมเรื่องราวการผจญภัยในอวกาศอันไกลโพ้นและน่าพิศวงที่ยังพาเราได้สำรวจความเป็นมนุษย์ในส่วนลึกของตัวเราเองไปพร้อมกัน ความตื่นเต้นและลุ้นระทึกของฉากปะทะและชิงไหวชิงพริบระหว่างธรรมะกับอธรรม นิยามว่าด้วยมิตรภาพและครอบครัว และปรัชญาว่าด้วยนิยามของสิ่งมีชีวิต ทั้งหมดนี้ถูกจัดวางอย่างถูกจังหวะและกลมกล่อมกว่าที่จะมีภาคไหนสู้ได้ ไม่เพียงเป็นหนัง Star Trek อันคลาสสิค แต่ยังถือเป็นหนังไซไฟคลาสสิคเรื่องหนึ่งด้วย
เพราะนอกจากจะแสดงให้เห็นความเปลี่ยวเหงาในการดำเนินชีวิตของคนเมืองในญี่ปุ่นยุคปัจจุบันที่แทบไม่มีเวลาสร้างความสัมพันธ์จริงๆกันแล้ว หนังยังได้พาไปสำรวจจิตใจตุ๊กตายางที่กลับมีหัวใจขึ้นมาอีกด้วย ทำให้ Air Doll เป็นหนังที่แสดงภาพสะท้อนไปมาระหว่างมนุษย์และอมนุษย์อย่างลุ่มลึกในภาวะจิตใจของคนในสังคมญี่ปุ่นที่ตึกราอาคารและการทำงานเข้ามาเป็นเรื่องสำคัญของชีวิตมากซะจนความสัมพันธ์ที่เปิดเผยและจริงใจต่อกันแทบจะเลือนหายจากไป
ณ ดินแดนประหาร Paul Edgecomb ผู้ทำหน้าที่ดูแลนักโทษ เขาได้พบกับ John Coffey นักโทษผิวสีร่างยักษ์ ในคดีฆาตกรรมเด็กสาว ถึงแม้ภายนอกอาจจะดูน่ากลัว แต่ทว่านิสัยของเขากลับเป็นคนรักสงบ มีจิตใจอ่อนโยน ชอบช่วยเหลือคนอื่น ซึ่งนั่นก็ทำให้ John Coffey กลายเป็นที่รักของผู้คน ณ ดินแดนประหารแห่งนี้
เมื่อพูดถึงคน “ผิวสี” ความคิดแรกของใครหลายคนอาจจะนึกถึง อาชญากรรม ยาเสพติด ความรุนแรง รวมไปถึง ทาส หรือ ชนชั้นต่ำทางสังคม ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นภาพลักษณ์ใน “แง่ลบ” และเป็นการ “เหยียดผิว” ด้วยกันทั้งสิ้น ความคิดเหล่านี้กลายเป็น “ค่านิยม” ที่ถูกส่งต่อ อีกทั้งรูปลักษณ์ภายนอกที่อาจดูน่ากลัว ไม่ค่อยเป็นมิตร กลายเป็นการตอกย้ำ “ค่านิยม” จนกลายเป็น “ความเชื่อ” ส่วนบุคคลไปในที่สุด
John Coffey เขาถูกชาวบ้านไปพบในขณะที่กำลังโอบกอบศพของเด็กสองคน ซึ่งก็ไม่แปลกที่เขาจะถูกตราหน้าในทันทีว่าเป็นผู้ก่อเหตุฆาตกรรมเด็กทั้งสอง เพียงเพราะ “สภาพแวดล้อมภายนอก” รวมไปถึง “ค่านิยม” และ “ความเชื่อ” เกี่ยวกับคนผิวสี
อย่างไรก็ตาม เราไม่ควรตัดสินคนหนึ่งๆ เพียงจากรูปลักษณ์ภายนอก เชื้อชาติ หรืออะไรก็ตามอย่างผิวเผิน แต่เราควรให้โอกาส ใช้เวลาในการศึกษาความคิด ความอ่าน เนื้อแท้ภายในจิตใจของเขา เหมือนอย่าง John Coffey ที่เวลาได้พิสูจน์ตัวตนของเขาให้คนรอบข้างได้เห็นว่าคนจะ “ดี” หรือ “ชั่ว” ไม่อาจตัดสินได้ด้วยเพียง “รูปลักษณ์ภายนอก”
หนังแนวสืบสวนของไทยที่หาดูได้ไม่บ่อย แถมมากับบรรยากาศทางเหนือสมัยเก่าในวิวทิวทัศน์ป่าเขาสบายตา เรื่องราว ฆาตกรรมที่เกิดขึ้นโดยมีผู้ต้องหาในเหตุการณ์สามคน ถูกสอบสวนโดยเล่าเรื่องของตนเอง เรื่องราวของพยานและผู้ต้องสงสัย ทั้งสองนั้นแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว และดูมีเหตุผลอย่างลงตัวกันหมด แต่ไม่ว่าใครในนี้ต้องมีฆาตกรตัวจริง และมีคนที่พูดโกหก ซึ่งเป็นสิ่งที่ท่านผู้ชมต้องไปติดตามและค้นหาความจริงด้วยตัวเอง คาดเดาได้ยากมาก เรื่องเนื้อเรื่องนี่ต้องขอชมว่าร้อยเรียงมา เป็นอย่างดีทีเดียว ล้า ลึก มีเหตุผล แรงจูงใจที่หนักแน่น น่าเชื่อถือ นอกจากด้านเนื้อเรื่องแล้ว ส่วนที่ตราตรึงใจอีกส่วนคือผลงาน
การแสดง ทุกท่านทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีมากๆ ดาราไทยคุณภาพคับจอถูกบรรจุลงในตัวละครที่เหมาะสมอย่างน่าสนใจ กลิ่น ไอทางเหนือทำให้เรารู้สึกเพลินได้ดีทีเดียว นอกจากนั้นหนังยังให้แนวคิดที่ดีของการเอาตัวรอดโดยสัญชาติญาณมนุษย์อันเป็น ประโยชน์แก่ชีวิตอีกด้วย
หนังแสดงให้เห็นภาพการรักษาของจิตแพทย์ที่สมจริงและทำให้เราเชื่อว่ากระบวนการเหล่านี้ช่วยบำบัดคนไข้ได้อย่างไร ซึ่งสำหรับผู้ชมชาวไทยน่าจะเข้าใจได้แจ่มชัดขึ้นว่าทำไม่ฝรั่งเค้าถึงชอบไปหาจิตแพทย์กัน สำหรับเบ็ธผู้เป็นแม่ (แมรี่ ไทเลอร์ มัวร์ในบทเบ็ธให้การแสดงที่ตราตรึงกับการแสดงที่ต้องเก็บกดแต่ก็พร้อมประทุตลอดเวลา) เธอได้ทิ้งความรักทั้งหมดของเธอไปพร้อมกับความตายของบั๊ค แล้วพยายามทำชีวิตที่เพียบพร้อมของเธอให้เป็นเหมือนเดิม แม้สุดท้ายแล้วเธอจะล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงก็ตาม กล่าวคือสำหรับคนภายนอกแล้วอาจมองเห็นเธอเป็น ‘สตรีที่ใครๆก็รัก’ ตามที่หนังเรียก แต่กลับคนในครอบครัวแล้วเธอกลับเย็นชาห่างเหินและต่อไม่ติด สำหรับคาลวินผู้พ่อ (โดนัลด์ ซุทเธอร์แลนด์กับการแสดงที่น่าจดจำ) ที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นตัวละครที่น่าเห็นใจที่สุดในเรื่อง เค้าคือกาวที่คอยประสานรอยร้าว แต่กระนั้นบางรอยร้าวก็มิอาจประสานคืนเฉกเช่นครอบครัวแจเร็ตภายหลังการสูญเสีย Ordinary People เป็นงานที่สะท้อนสภาพครอบครัวอเมริกันชนชั้นกลางที่ให้ปลอกเปลือยตัวละครได้อย่างร้าวรานจับใจ
หนังอาจจะถูกลดคุณค่าลงเพียงเพราะมันไม่ได้บอกเล่าถึงที่มาสาเหตุที่นกโจมตีมนุษย์ แต่เราก็ต้องยอมรับว่าหลายสิ่งบนโลกนี้ก็ยังหาคำตอบไม่ได้เลย ดังนั้นหากเรามองข้ามปัจจัยนี้ไปก็จะสัมผัสถึงความยอดเยี่ยมของ The Bird อย่างแน่นอน
The Perks of Being a Wallflower
ความน่าสนใจของเรื่องนี้เป็นเรื่องราวของการยอมรับคุณค่าของตัวเอง การค้นพบตัวเอง การข้ามผ่านไปสู่การเป็นผู้ใหญ่ การยอมรับในสภาพเพศและเรื่องราวของความรัก นี่เป็นหนังวัยรุ่นอีกเรื่องที่ทำให้เราได้ย้อนกลับไปสมัยม.ปลาย นึกถึงบรรยากาศตอนสมัยเรียน การได้ปาร์ตี้กับเพื่อน หรือแม้กระทั่งได้แอบรักเพื่อน (แต่สมัยนั้นแอดแมวโดนเพื่อนแอบรักมากกว่า 555) เกือบทุกคนน่าจะเคยผ่านประสบการณ์แบบนี้ ส่วนการแสดงของดาราทั้งสามคน อย่าง โลแกน เลอร์แมน เอ็มม่า วัตสัน ก็แสดงได้เป็นธรรมชาติทำให้เราลืม เพอซี่แจ็คสัน และ เฮอร์ไมโอนี่ไปเลย นี่เป็นหนังที่จะให้เราย้อนกลับไปหาช่วงชีวิตมอปลาย ช่วงเวลาที่เราเวิ่นเว้อเพ้อฝันอยู่กับตัวเองก่อนจะมองโลกในแบบความจริง และกลับมาคิดว่า….ไม่ว่าในอดีตเราจะเจออะไร ผ่านอะไรมา แต่สุดท้ายมันก็จะผ่านไป ไม่ว่าจะดีหรือเลว ตัวเรานี่แหล่ะที่สามารถกำหนดอนาคตของตัวเองได้
นี่เป็นหนังแนวก้าวพ้นวัยที่ดีที่สุดก็ว่าได้ครับ กับ การเดินทางของเพื่อนทั้งสี่ที่ลักษณะนิสัยแตกต่างกัน ทั้งเป็นคนที่ใส่ซื่อ อีกคนก็ถือว่าแสบใช้ย่อย และก็ทั้งขี้โม้ อีกคนก็ขี้ขลาด แต่ที่ทั้งสี่มีเหมือนกันก็คือ ‘มิตรภาพ’ ที่แม้การเดินทางของพวกเขาจะทำให้พวกเขาเจอเรื่องต่างๆ มากมาย แต่การเดินทางของทั้งสี่ในครั้งนี้ก็หล่อหลอมให้พวกมิตรภาพของพวกเขาแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น นี่นับเป็นหนังไม่กี่เรื่องที่นำเสนอการก้าวพ้นวัยได้งดงามที่สุด หนังที่ทำให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงจาก เด็กที่มีความคิดแบบเด็กๆ จากตอนต้นเรื่อง ไปเป็นผู้ใหญ่ ในถึงตอนจบ ซึ่งพอถึงตอนนั้นเราก็จะไม่ได้เห็นเด็กไร้เดียงสาที่เราเจอตอนต้นเรื่องอีกแล้ว Stand by Me นับเป็นหนังที่จบได้ประทับใจและงดงามแต่แฝงไปด้วยข้อคิดดีๆ ครับ
ด้วยตัวบท ที่ค่อนข้างเครียด โดยจะไม่บอกรายละเอียดชัดเจน ทุกอย่างดูคลุมเครือไปหมด เพื่อให้คนดูต้องคิดต่อ รวมไปถึงทุกตัวละครต่างมีมิติลึกซึ้งและมีปัญหาในชีวิตของตัวเอง เมื่อยิ่งรวมเข้ากับการที่หนังแทบไม่ใช้เพลงประกอบเลยจึงสร้างพลังแรงกดดันที่มากขึ้นให้กับคนดู โครงเรื่องที่ค่อนข้างสมบูรณ์และซับซ้อนอยู่แล้วมาบวกกับเข้ากับการแสดงของเหล่านักแสดงชั้นยอดอย่าง Sean Penn และ Tim Robbins ที่ได้คว้ารางวัลออสการ์ในสาขา Best and Supporting Actor มา จึงทำให้หนังออกมาไร้ที่ติ และทิ้งความรู้สึกบางอย่างให้กับคนดูไปเต็มๆ
ความพิเศษประการแรกที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือมันตลกมาก ตลกจริงจัง หัวเราะกันเอร็ดอร่อย นอกเหนือจากนั้นบทยังผสมผสานการตีความช่วงเวลาชีวิตของ Shakespeare ในจังหวะที่กำลังสร้างงานชิ้นสำคัญอย่าง Romeo & Juliet เล่าผสมกับพาร์ทละครเวทีออกมาได้กลมกล่อม
ใครว่าไม่คู่ควรกับออสการ์ เราว่าเหมาะสมในทุกกรณี
ที่ต้องยกนิ้วให้คือบทของ M. Night Shyamalan ที่สามารถผูกเรื่องราวได้อย่างสมบูรณ์ พล็อตมีดีในตัวเองไม่ว่าจะในฐานะหนังสยองสักเรื่อง ที่ครบเครื่องบรรยากาศน่าขนลุก, ในฐานะหนังลึกลับซ่อนปม ที่ทำให้เราฉงนกับหลายเหตุการณ์ และในฐานะหนังชีวิต ที่สะท้อนสาระเกี่ยวกับชีวิตคู่และเรื่องความสัมพันธ์แม่ลูกได้อย่างน่าขบคิด
รอบแรกที่ผมเจอมุขหักมุมของหนังไป ผมก็รีบตีตั๋วย้อนไปดูหนังเรื่องนี้อีกหนเพื่อตรวจเช็คว่ามีอะไรหลุดไหม มีอะไรที่ทำให้การหักมุมไม่สมเหตุสมผลไหม ผลปรากฏว่าหนังเดินเรื่องแบบไร้รอยตะเข็บ แต่ละฉากมันสอดคล้องกับบทสรุป อันที่จริงหนังก็แอบบอกคนดูอยู่หลายฉาก แต่พวกเราเองดันมองไม่เห็น ทั้งๆ ที่ตลอดเรื่อง หนังก็วนเวียนอยู่แต่ “เรื่องผีๆ” แท้ๆ
ไม่เรียกว่าหนังดีก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้วล่ะครับ
เราชอบไอเดียที่สร้างสรรค์หุ่นยนต์แปลงร่างเป็นรถยนต์รุ่นต่างๆ ตอนดูครั้งแรกนั้นรู้สึกตื่นเต้นและตื่นตาตื่นใจมาก แล้วในด้าน visual effects หรือ CG เขาก็ทำดีไร้ที่ติ ซาวนด์ประกอบก็ดี ทำให้หนังดูสนุกขึ้นไปอีก ถึงแม้ในตัวบทจะไม่ค่อยมีเนื้อหาสาระไปสักหน่อย ความบันเทิงโดยรวมถือว่าผ่านมากๆ
แต่ก็น่าเสียดายที่ภาคหลังๆ Michael Bay ดูจะทำหนังสุกเอาเผากินไปเสียหน่อย แถมทั้ง Shia LaBeouf และ Megan Fox ก็ไม่ได้เล่นแล้ว ทำให้ Transformers มันดูไม่ใช่ Transformers ยังไงก็ไม่รู้
ผู้กำกับพาเราติดตามชีวิตของโควิคที่ตอบคำกล่าวของประธานาธิบดีได้อย่างชัดเจน โควิคเสียเพื่อน ขาทั้งสองข้าง ครอบครัว เพื่อนฝูง และจิตวิญญาณเพื่อประเทศชาติ แล้วสุดท้ายประเทศชาติมันดีขึ้นหรือไม่? สไตล์การเล่าเรื่องของสโตนมีเอกลักษณ์โดดเด่นตรงนี้เค้าใส่อารมณ์ความคิดของตัวเองลงไปในหนังอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ข้อดีก็คือหนังโดดเด่นในแง่ของการตั้งคำถามและโน้มนำอารมณ์ไปได้อย่างสุดทางซึ่งส่งผลให้หนังกลายเป็นความบันเทิงชั้นดี ส่วนข้อเสียก็คือผู้ชมอาจถูกชักจูงไปกับหนังอย่างไม่ลืมหูลืมตา แต่อย่างไรก็ตามต้องหมายเหตุไว้ด้วยว่าเหตุการณ์ที่ถูกบอกเล่าล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องจริงที่ถูกนำมาร้อยเรียงขึ้นเป็นภาพยนตร์ Born on the Fourth of July เป็นหนังต่อต้านสงครามที่สร้างได้อย่างสมจริง โน้มน้าวได้อย่างมีรสนิยม และไม่มากไม่น้อยมันเหมือนเป็นการระลึกถึงเวียดนามและอดีตทหารผ่านศึกว่าสงครามเป็นสิ่งเลวร้ายเพียงใด มันไม่อาจแก้ไขได้ทำได้เพียงขอโทษต่อสิ่งที่ได้เกิดขึ้นก็เท่านั้น
Moulin Rouge! เป็นหนังเพลง Drama Musical Romance ซึ่งนำบทเพลงต่างๆ ที่ได้รับความนิยมกว่า 28 เพลง มาปรับปรุงใหม่ให้เข้ากับสถานการณ์ต่างๆและฉากร้องเพลงราวกับโรงละครที่หรูหรา จนแทบจินตนาการไม่ถึง โดยเพลงที่ต้องชูให้หนังเรื่องนี้เลยคือเพลง “Your Song” ของ Elton John เพราะเพลงนี้ทำให้ Moulin Rouge!โรแมนติกมากขึ้นจนหลายๆคนต้องเสียน้ำตา และยังเป็นฉากที่ Christian ร้องเพลงให้กับ Satine ทำให้ไม่คิดเลยว่า Ewan McGregor เสียงจะทรงพลัง และsexy มากได้ขนาดนี้ ทั้งหมดนี้ Moulin Rouge! จึงเป็นหนังเพลงอันดับต้นๆเลยที่ไม่ควรจะพลาด
หนังมาพร้อมเนื้อหาที่ขับเคลื่อนได้อย่างน่าติดตาม เพราะอัดแน่นไปด้วยปมประเด็นที่แข็งแกร่งระหว่างตัวละคร พร้อมด้วยฉากที่ใส่เข้ามาเพื่อเซอร์วิสคอหนังประเภทเน้นรับแรงกระแทกเป็นหลัก คุณจะได้เห็นซีนขายความมันส์ แบบดุดิบเดือดที่เน้นความบันเทิงในระดับที่ทำให้หัวใจเต้นรัวแรงไปตามจังหวะขับเคลื่อนของยานพาหนะ รวมไปถึงการปูเรื่องให้ยากเกินคาดเดาตามสไตล์ผู้กำกับ นิโคลัส วินดิ้ง เรฟิ่น ที่หันมาทำหนังแนวนี้ได้อย่างมีจังหวะจะโคนที่น่าประทับใจ พร้อมนำเสนอแง่มุมของหนังแอ็คชั่นด้วยคอนเซ็ปต์ฉลาดๆ ที่ทำให้ผู้ชมสามารถสนุกคิดไปกับเรื่องราวที่อยู่ภายใต้ที่ทรงพลังและ Stunning ทุกวินาที
ลำพังความซับซ้อนของเนื้อเรื่องที่พูดถึงชายที่ต้องไปติดอยู่บนเกาะร้างและหาทางเอาชีวิตรอดตลอดระยะเวลา 4 ปี นั้น เกือบจะพูดได้ว่าหนังแทบไม่มีอะไรเลย แต่การถ่ายทอดบทบาท “ชัค โนแลน” ที่ยิ่งกว่าคำว่า “Outstanding” ของทอม แฮงค์ ทำให้การนั่งดูตัวละครสรรหาสารพัดวิธีเอาตัวรอดแทบทั้งเรื่อง กลายเป็นประสบการณ์อันสุดพิเศษและดึงดูดสายตาของเราได้ตั้งแต่ต้นจนจบ
ความยอดเยี่ยมของ โหมโรง คือการนำระนาด เครื่องดนตรีไทยที่อาจะถูกมองว่าเชยมาเป็นตัวขับเคลื่อนเรื่องราวได้อย่างน่าสนใจ และน่าติดตามโดยเฉพาะฉากการดวลระนาดอันดุดัน รุนแรง และสวยงามจนเป็นหนึ่งในซีนน่าจดจำอันดับต้นๆของหนังไทยเลยทีเดียว และอย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้น ถึงแม้หน้าหนังจะเป็นหนังเชิดชูศิลปะวัฒนธรรมไทย แต่การเล่าเรื่องไม่ยัดเยียด ไม่บีบบังคับให้เราต้องรัก หนังกลับปล่อยให้เรื่องราวและบทภาพยนตร์อันยอดเยี่ยมที่พาให้คนดูได้เห็นมุมมองใหม่อันน่าทึ่ง ตื่นตะลึง และรู้สึกตื้นตันในความเป็นเจ้าของวัฒนธรรมโดยที่ไม่จำเป็นต้องสั่งให้รักเลยแม้แต่น้อย
หนังสามารถดึงเอาเรื่องของศาสนาและวัฒนธรรมมาเกี่ยวโยง เป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นจนเรียกว่าใครก็ลอกเลียนแบบไม่ได้ ราวกับได้ชมราโชม่อนเวอชั่นใหม่ ทรงพลัง และมีบทสรุปที่ตอกหน้าสังคมกับคนดูให้หน้าหงายไปตามๆกัน สำหรับผมแล้ว มีหนังไม่กี่เรื่องที่ดูจบแล้วมีความรู้สึกอยากจะลงไปก้มกราบคนเขียนบทงามๆ และหนังเรื่องนี้ก็คือหนึ่งในนั้น
Harry Potter and the Prisoner of Azkaban มีสิ่งเด่นๆ ที่พิเศษจากภาคอื่นๆ หลายอย่าง เช่น Buckbeak, ไม้กวาดรุ่นใหม่ Firebolt, Hogsmeade, ความลับของ Hermione ฯลฯ โดยภาพรวม เราว่าเรื่องราวน่าติดตามมากขึ้น ถึงแม้จะซับพล็อตเยอะ แต่ก็ผูกเรื่องดี และหักมุมได้น่าประทับใจกว่าภาคอื่นๆ ที่สำคัญ Hermione (Emma Watson) ตัวละครโปรดของเรา ยังมีบทบาทโดดเด่นกว่าใครๆ
ทุกวันนี้ยังดูและอ่าน Harry Potter and the Prisoner of Azkaban ซ้ำแล้วซ้ำรอบได้ไม่รู้เบื่อ
“หนังดีจริงต้องอมตะเหนือกาลเวลา” คือนิยามที่เหมาะกับหนังเรื่องนี้อย่างที่สุดครับ เพราะแม้หนังจะเก่า แต่งานสร้างสุดยอดมากๆ ไม่ว่าจะดนตรีที่หลอกและหลอนอารมณ์ผู้ชมอย่างได้ผล, มุมกล้องหลากลีลาที่แต่ละฉากมันสื่อนัยบางอย่าง บางฉากก็ถ่ายมุมแคบให้เราอึดอัดแบบจงใจ บางคราวกล้องก็จับไปที่ “อุปกรณ์ประกอบฉาก” ที่สื่อถึงชะตากรรมหรือความคิดของตัวละครในเวลาต่อมา ไหนจะการเล่นแสงเงาเพิ่มความน่ากลัวให้กับหนัง อีกทั้งดาราแต่ละคนก็ถ่ายทอดบทบาทได้อย่างเป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะ Anthony Perkins ที่เหมาะกับบท “นอร์แมน เบตส์” ที่สุดในสามโลก
หนังเรื่องนี้คือหลักฐานที่ดีที่สุดที่ยืนยันว่าฉายา “ราชาเขย่าขวัญ” (The Master of Suspense) คู่ควรกับชายชื่อ Alfred Hitchcock ผู้สร้างสรรค์หนังเรื่องนี้อย่างไร้ข้อกังขา
แม้พล็อตหนังจะทั้งใหญ่และหนักหนาเอาการ แต่ยอมรับว่าหนังเก่งกาจมากๆ ในการเล่าเรื่อง มีการใส่ธีมโรแมนติกไซไฟและผจญภัยเข้าไปทำให้หนังดูสนุกและน่ารัก รวมไปถึงการสร้างคาแรกเตอร์ของสองหุ่นยนต์ “วอลล์อี” และ “อีฟ” ที่ทั้งน่ารัก น่าจดจำ และถ่ายทอดความโรแมนติกผ่านอวัจนภาษาได้อย่างน่าเหลือเชื่อ
1 ในคำตอบของทุกคนย่อมมีหนังเรื่องนี้อยู่ในลิสต์หนังที่พวกเขาชื่นชอบแน่นอน หนังจะนำเสนอเรื่องราวดราม่าเข้มข้นและจริงจังโดยมีฉากหลังของเรื่องเป็นสมรภูมิในสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทหารกลุ่มหนึ่งนำโดยผู้กองจอห์น มิลเล่อร์(ทอม แฮงค์)ได้รับภารกิจให้ไปตามหาตัวพลทหารเจมส์ ไรอัน(แมตต์ เดมอน)เพื่อส่งเขากลับบ้านด้วยเพราะพี่ชายทั้ง 3 คนของเจมส์ได้เสียชีวิตในสนามรบหมดแล้ว ทางการจึงไม่นิ่งนอนใจและอยากที่จะรักษาชีวิตลูกชายคนสุดท้ายของตระกูลนี้ นั่นทำให้ภารกิจงมเข็มในกองเข็มได้เริ่มต้นขึ้นท่ามกลางข้อสงสัยของคนในหน่วยค้นหาว่าทำไมพวกเขาทั้งหมดจะต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเหลือคนๆเดียวด้วย?
ตลอดทั้งเรื่องเราจะได้เห็นภาพความโหดร้ายของสงครามผ่านการถ่ายทอดเรื่องราวโดยกองทหารกลุ่มนี้ ในระหว่างนั้นหนังจะให้เราได้ทำความรู้จักคาแรคเตอร์แต่ละตัวเพื่อให้เรารู้สึกผูกพันกับพวกเขาด้วยการพาเหล่าตัวละครเข้าไปเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ต่างๆระหว่างที่กำลังเดินทางออกตามหาพลทหารไรอัน หนังยังแทรกประเด็นยิบย่อยเพื่อสร้างอรรถรสให้กับเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นประเด็นขำๆหรือประเด็นบีบหัวใจคนดูก่อนที่จะสรุปทุกอย่างให้เราได้รู้กันในตอนท้ายเรื่องได้อย่างยอดเยี่ยม
หนังมาพร้อมกับบทภาพยนตร์ที่หักเหลี่ยมเฉือนคมและพลิกแพลงได้อย่างน่าทึ่ง รวมถึงโทนหนังที่กลมกล่อมไปด้วยส่วนผสมระหว่างงานดราม่า อาชญากรรม และคอเมดี้ที่จัดวางอย่างลงตัว คงไม่ใช่เรื่องเกินจริงที่จะพูดว่า นี่เป็นหนังออสการ์ที่ดู “สนุกที่สุด” เรื่องหนึ่ง และเป็นหนังนักต้มตุ๋นที่ “ดีที่สุดตลอดกาล”
แบทแมนภาคนี้ยังคงเป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่อยู่ ทว่าไม่ใช่หนังแฟนตาซีเหนือจริงตามสูตรสำเร็จ แต่มันมาพร้อมภาพสะท้อนให้เห็นว่า “หากมีซูเปอร์ฮีโร่ในโลกนี้จริงๆ แล้ว สังคมจะเป็นเช่นไร?” ซึ่งหนังซูเปอร์ฮีโร่ส่วนมากลงท้ายด้วยธรรมะชนะอธรรม แต่ The Dark Knight ทำให้เราตระหนักว่าโลกจริงๆ ซับซ้อนกว่าในการ์ตูน และต่อให้มีซูเปอร์ฮีโร่จริงๆ ก็ใช่จะทำให้บ้านเมืองสงบได้ง่ายๆ มันยังมีปัจจัยอีกมากมายที่จะเปลี่ยนเหตุร้ายให้กลายเป็นดี หรือเปลี่ยนคนดีให้กลายเป็นร้าย
ปกติหนังสักเรื่องจะมีไคลแม็กซ์ไม่กี่ฉาก (แค่ 3 ฉากก็เก่งแล้ว) แต่กับเรื่องนี้ทุกฉากมีความสำคัญ เป็นเหมือนไคลแม็กซ์ย่อยๆ มาเรียงต่อกัน บทก็เข้มข้น ดนตรีได้ใจ ดาราก็โคตรยอด (โดยเฉพาะ Heath Ledger ผู้ล่วงลับ)
สรุปว่าเรื่องนี้จะดูเอามันส์, เอาคุณภาพ, เอาสาระ, เอาไปวิเคราะห์สังคม หรือเอาไปศึกษาว่าหนังที่ได้ชื่อว่า “สุดยอด” ต้องมีองค์ประกอบอะไรบ้าง ก็ล้วนตอบโจทย์ได้ในทุกจุดประสงค์… ว่าแล้วต้องดูอีกรอบ
หนังเปิดมาด้วยภาพของศพผู้ชายคนหนึ่งก่อนที่เสียงของศพเริ่มเล่าเหตุการณ์ที่ทำให้เค้าพบจุดจบแบบนี้ จุดเด่นของสไตล์นี้ก็คือมันเป็นการเปิดเรื่องที่ดึงดูดใจผู้ชมตั้งแต่แรกเริ่ม แต่เพราะความที่มันถูกสปอยล์แล้วการจะรักษาระดับความน่าติดตามไปจนจบเรื่องจึงเป็นงานที่ยากกว่าเดิมเป็นสองเท่าของการเดินเรื่องแบบปกติ อย่างไรก็ดีผู้กำกับระดับบิลลี่ ไวเดอร์ (2 ออสการ์ในสาขาผู้กำกับจากการเข้าชิง 8 ครั้ง, 2 ออสการ์บทดั้งเดิมจากการเข้าชิง 4 ครั้ง และ 1 ออสการ์บทดัดแปลงจากการเข้าชิง 7 ครั้ง) ซึ่งถือเป็นมือปืนรับจ้างที่กำกับหนังได้ทุกแนวตั้งแต่ตลก ดราม่า จิตวิทยา สงคราม หนังรัก ฟิลม์นัวร์ ฯลฯ ก็คุมโทนเรื่องให้น่าติดตามไปตลอดเรื่องจนเราเผลอลืมไปเลยว่าตัวเอกของเรื่องมีจุดจบเช่นไร โจ จิลลิส (วิลเลี่ยม โฮเด็น) เป็นนักเขียนตกอับที่กำลังจะอดตายด้วยความบังเอิญเค้าเข้ามาพบกับอดีตดาราหนังเงียบชื่อดังที่ปัจจุบันเป็นคุณป้า (หรือยาย?) นอร์มา เดสมอนด์ (กลอเรีย สวอนสัน) ก่อนจะถูกจ้างให้เขียนบทกลายเป็นหนูตกถังข้าวสาร แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความหลงไหลคลั่งไคล้เกินปกติจากดารารุ่นแม่
Sunset Blvd.โดดเด่นด้วยสไตล์แบบฟิลม์นัวร์ครบถ้วน ทั้งหญิงร้ายชายเลว เล่นกับแสงและเงาเผยถึงด้านมืดของตัวละคร ผ่านเรื่องราวที่ทั้งหมิ่นเหม่ทางศีลธรรมไปจนถึงการวิเคราะห์สภาพจิตใจ กลอเรีย สวอนสันได้บทบาทแห่งชีวิตบทสำคัญบทนอร์มา เดสมอนด์ได้กลายเป็นไอดอลเมื่อว่าด้วยดาวร้ายฝ่ายหญิงและสตรีผู้มีจิตไม่ปกติถึงขึ้นบ้าบอประสาทหลอน บทดังกล่าวเหมือนเป็นการล้อเลียนสวอนสันกลายๆ เมื่ออดีดสวอนสันก็เป็นดาราหนังเงียบชื่อดังคับฟ้า จนกระทั่งการมาถึงของหนังเสียงทำให้เธอไม่เป็นที่ต้องการ ฉากที่ติดตราตรึงใจทุกคนที่ได้ชมคือฉากจบของเรื่องที่เป็นการสรุปตัวตนของเดสมอนด์อย่างน่าจดจำและเผยถึงสภาวะทางจิตใจได้อย่างยอดเยี่ยม คงกล่าวได้ว่า Sunset Blvd. คือหนังที่ดีงามที่ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์อะไรอีกแล้ว
หนึ่งในประโยคเรียบง่าย ที่ลึกซึ้ง และกินใจอย่างยิ่ง จากหนังอมตะที่ช่วยปลุก “พลังใจ” สร้าง “แรงบันดาลใจ” ให้ผู้คนมากมาย
Andy Dufresne นายธนาคาร ที่ถูกจับในข้อหาฆาตกรรมภรรยาและชู้รักของเธอ ซึ่งเขาก็เชื่อมั่นว่าตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่หลักฐานต่างๆกลับโยงใยมาสู่ตัวเขา และนั่นก็ทำให้เขาต้องรับโทษจำคุกตลอดชีวิต
Andy Dufresne ตัวเอกของเรื่องที่ถูกความอยุติธรรมของกฎหมาย พิพากษา ช่วงชิง “ร่างกายและชีวิต” ถูกจองจำอยู่ในคุก ที่ไร้ซึ่งอิสรภาพ เสรีภาพของชีวิต แต่สิ่งหนึ่งที่คุกแห่งนี้ไม่อาจช่วงชิงไปจากเขาได้ก็คือ “จิตวิญญาณ” ความเป็นมนุษย์ ความศรัทธา การยึดมั่นในความดี และแสงแห่ง “ความหวัง” ที่เจิดจ้าและลุกโชนไม่มีวันมอดดับ
ตลอดช่วงเวลา 19 ปีที่อยู่ในคุก เขาได้พบเจอและเรียนรู้สิ่งต่างๆมากมาย รวมถึงการมอบ “ความหวัง” ให้กับคนรอบข้าง และสิ่งสำคัญเหนืออื่นใด การไม่หวังพึ่งใน “โชคชะตา” เขาพยายามทำสิ่งๆหนึ่ง ทำทุกๆวัน โดยไม่รอคอยให้สิ่งต่างๆเกิดขึ้นเอง และนั่นก็ทำให้เขาได้พบเจอกับสิ่งที่เรียกว่า “อิสรภาพ”
The Good German….ภารกิจรักเพลิงสงคราม
รีวิวหนัง : The Good German ภารกิจรักเพลิงสงคราม The
10 หนังดี มีความลับ ที่ผู้กำกับไม่ได้บอก (แต่เราจะเฉลย!!)
เมื่อความสนุกของผู้กำกับซ่อน 10 ฉากแห่งความลับเอาไว้ในหนังอย่างแนบเนียน เคยสังเกตกันบ้างไหมว่าฉากหนังแต่ละเรื่องนี้กำลังบอกอะไรเราอยู่ ความสนุกและน่าติดตามในหนังแต่ละเรื่องต่อไปนี้จะเพิ่มมากขึ้นเมื่อคุณรู้ว่าในแต่ละฉากนั้นมีมากกว่าภาพที่เราเห็น และนี่คือตัวอย่าง 10