เขาเริ่มต้นธุรกิจขายเครื่องสแกนกระดูกอย่างมีความหวัง เพราะตอนตั้งต้นทุกอย่างก็เหมือนจะไปได้ดี เขาเพิ่มเงินทุนลงไปอีกก้อนใหญ่แต่แล้วจู่ๆธุรกิจนี้ก็หยุดนิ่ง เขาไม่มีเงินจ่ายค่าน้ำค่าไฟ หนี้สินอีกมากมายประเดประดังเข้ามา เครื่องสแกนจำนวนมากที่ซื้อมาเก็บไว้ล้วนขายไม่ออก และที่หนักหนาสาหัสที่สุดคือการสูญเสียกำลังใจในขณะที่เจอวิกฤติ เพราะภรรยาทิ้งให้เขาเผชิญหน้าปัญหาเหล่านั้นเพียงผู้เดียว
เขาไม่มีบ้าน ไม่มีที่ซุกหัวนอน ไม่มีเงินเหลือพอสำหรับค่าอาหารในแต่ละวัน สิ่งเดียวที่เขาเหลืออยู่และมีค่ามากที่สุดคือ ลูกชาย
แต่คริสไม่เคยยอมแพ้ เขาสู้ชีวิตจนถึงที่สุดในทุกเส้นทางที่ทำได้ภายใต้งานสุจริต เขาไม่หยุดที่จะเรียนรู้จากความผิดพลาด และถึงกับยอมบริจาคเลือดของตัวเองเพื่อเอาไปแลกเงินมา มีหลายจังหวะที่เราเห็นแล้วอดลุ้นไม่ได้ว่า เขาจะยอมแพ้หรือเปล่า เพราะมันแทบจะไม่มีทางไปต่อได้เลย
The Pursuit of Happyness คือหนังแนวคุณพ่อสู้ชีวิตจากฮอลลีวูดที่ดูจบแล้วก็เกิดความรู้สึกว่า ถ้าวันหนึ่งเราได้เป็นพ่อคนก็อยากที่จะมีความเป็นพ่อให้ได้ใกล้เคียงกับในหนัง เพราะการสู้ชีวิตที่เกิดขึ้นดูแล้วรู้สึกได้เลยว่าเขาไม่ได้สู้เพื่อรวย ไม่ได้สู้เพื่อหน้าตาในสังคม จุดหนึ่งคือสู้เพื่อมีอยู่มีกิน เพื่อใช้หนี้ แต่จุดมุ่งหมายสูงสุดคือ สู้เพื่อให้ลูกชายได้มีชีวิตที่ดีกว่าที่เป็นอยู่
หนังรักเรื่องนี้เป็นหนังรักในสไตล์พูดน้อย เป็นเรื่องของชายวัยสามสิบเจ้าของร้านถ่ายรูปที่ตกหลุมรักตำรวจจราจรสาวที่แวะเข้าล้างรูปในร้านของเขาในช่วงหน้าร้อน ระยะเวลาที่พวกเขารู้จักกันเป็นช่วงเวลาสั้นๆในหน้าร้อนนั้น ไม่มีการจีบ ไม่มีการออกเดต แต่ก็น่าแปลกที่แม้จะไม่มีกิจกรรมเหล่านั้น แต่ทุกครั้งที่พวกเขาพบกัน หนังถ่ายทอดให้เราสัมผัสได้ถึงความสุขผสมสบายใจของคนสองคน ก่อนที่จะมาเฉลยในตอนสุดท้ายว่าเพราะอะไร ความรักของคนทั้งสองจึงถูกจำกัดไว้เพียงเท่านี้
แม้จะเป็นหนังรักแบบหนุ่มสาวแต่ฉากหนึ่งที่เกี่ยวกับ ‘พ่อ-ลูก’ ในหนังเรื่องนี้เป็นฉากที่เรียบง่ายแต่กินใจมาก มันเป็นฉากที่พ่อวัยชราถามวิธีการใช้เครื่องเล่นวิดิโอแล้วลูกชายสอนเท่าไหร่ พ่อก็ไม่เข้าใจ จนลูกชายออกอาการหงุดหงิด แล้วมันก็จบลงด้วยการที่ทั้งสองฝ่ายบึ้งตึงกันไป แต่แล้วเมื่อลูกชายเริ่มใจเย็น เขาก็มานั่งเขียนวิธีใช้ทิ้งไว้ให้พ่ออย่างละเอียด ด้วยความหวังว่าพ่อจะสามารถใช้งานมันได้ในวันที่เขาไม่อยู่ ซึ่งเมื่อคนดูรู้ว่าอะไรเป็นอะไร เราก็จะรู้ว่าความหงุดหงิดที่เกิดขึ้นของลูกชายมาจากความเป็นห่วงมากมายที่เขาไม่อาจรับมือ
ความรักในหนังเรื่องนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นความรักที่ไม่ผ่านการพูดออกมาว่า ‘รัก’ แต่มันแสดงออกผ่านการกระทำและภาพถ่าย ที่ชายคนหนึ่งพยายามจะทำเท่าที่ทำได้ให้กับทุกคนที่เขารัก (หญิงสาวผู้เป็นแสงสว่างสุดท้ายในใจ , พ่อวัยชรา)
คุณพ่อยังหนุ่มอย่าง วิล เฮย์ส กำลังเจอโจทย์ยากที่ต้องตอบลูกสาววัยสิบขวบ เมื่อเธอกลับจากชั่วโมงเพศศึกษาในชั้นเรียน แล้วเริ่มอยากรู้เรื่องราวความรักครั้งหลังของพ่อกับแม่ตัวเองว่า ชีวิตคู่ของพ่อกับแม่ตอนก่อนจะมีเธอนั้นเป็นอย่างไร
เหตุผลที่ตอบยาก เพราะวิลอยู่ในช่วงจิตตกเนื่องจากกำลังจะหย่าขาดจากภรรยา แต่ด้วยลูกอ้อนของลูกสาว วิลจึงรับปากว่าจะเล่าเหตุการณ์ในอดีตให้ฟังโดยตกลงว่าจะใช้ชื่อตัวละครในเหตุการณ์เป็นชื่อสมมติ และจะไม่บอกว่าหญิงสาวในเนื้อเรื่องคนไหน คือ แม่ของเธอ
คนดูจะได้ลุ้นไปกับเจ้าลูกสาวตัวน้อยในการสืบค้นว่า หญิงสาวในเรื่องเล่าทั้ง 3 คน คนไหนคือรักแท้ของวิล ให้อารมณ์คล้ายกับซีรี่ส์สุดฮิต How I Met Your Mother สำหรับการที่ใช้เวลาเกินกว่าครึ่งเรื่องเหมือนหนังสืบสวนหาตัวจริงที่เป็นแม่ของเด็กสาว แต่หนังก็สามารถทำให้เรานั่งลุ้นและซาบซึ้งไปพร้อมๆกันได้
เป็นหนังน่ารักที่ได้เห็น ไรอัน เรย์โนลด์ ในบทคุณพ่อต้องคอยรับมือกับ อบิเกล เบรสลิน จาก Little Miss sunshine ในบทลูกที่กำลังเข้าวัยรุ่นแล้วช่วยให้เธอก้าวข้ามความสงสัยไปพร้อมๆกับได้บทเรียนเรื่องความรักของโลกความเป็นจริง ที่อาจไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเหมือนนิทานเสมอไป
The Impossible เป็นหนังที่ดัดแปลงจากเรื่องจริงของครอบครัวชาวสเปนที่มาเที่ยวเขาหลักในช่วงวันคริสต์มาสปี 2004 ครอบครัวนี้ประกอบไปด้วยคุณพ่อ , คุณแม่และลูกชายอีกสามคน
ในขณะที่พวกเขาพักผ่อนอย่างสบายใจในโรงแรม คลื่นยักษ์สึนามิก็ขึ้นถล่มแบบที่ไม่มีใครทันเตรียมตัว ทำให้ครอบครัวนี้ลอยตามไปตามกระแสน้ำ แยกย้ายไปคนละทาง พ่อพลัดไปกับลูกคนเล็กสองคน แม่พลัดไปกับลูกชายอีกคนและตัวแม่เองได้รับบาดเจ็บสาหัส
พวกเขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ไม่มีโทรศัพท์ที่จะติดต่อถึงกันได้ พวกเขาไม่สามารถพูดภาษาไทย ไม่มีคนรู้จักในเมืองไทย แถมความโกลาหลที่เกิดขึ้นทุกหย่อมหญ้าในวันนั้นทำให้โอกาสที่พวกเขาจะได้พบกันอีกแทบจะ’เป็นไปไม่ได้’ตามชื่อหนัง
แต่ท่ามกลางบรรยากาศสิ้นหวัง หนังทำให้เห็นพลังที่ยิ่งใหญ่หัวใจที่สู้ไม่ถอยคนเป็นพ่อและแม่ที่ต่างพยายามจะพาลูกที่ตัวเองดูแลอยู่กลับไปหาอีกฝ่าย เพื่อคืนสู่การเป็นครอบครัวอีกครั้ง
แม้หนังเรื่องนี้จะขึ้นชื่อในเรื่องของงานด้านเทคนิคที่นำเสนอภาพภัยพิบัติได้น่ากลัวสมจริง แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดคือการสร้างอารมณ์ร่วมกับคนดู ทำให้เราเจ็บไปกับพวกเขา หวาดกลัวไปกับพวกเขา และเอาใจช่วยราวกับเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย
วิล บลูมเป็นลูกชายที่มีความขัดแย้งกับพ่อ หงุดหงิดพ่อที่ชอบเล่าเรื่องตำนาน’ปลาตัวใหญ่’เหมือนในนิยายที่ตัวเองเขียนซ้ำๆ แม้แต่วันแต่งงานของเขา พ่อก็ขโมยซีนเรียกความสนใจจากแขกเหรื่อด้วยเรื่องเล่านี้ ยังมีเรื่องเล่าอีกมากมายที่ฟังแล้วแฟนตาซีเหนือจริง เช่น แม่เฒ่าตาเดียวที่สามารถทำนายความตายของคนที่จ้องเข้าไปในลูกตาของเธอ , ตำนานที่พ่อบุกไปหายักษ์เพื่อช่วยเหลือชาวเมือง ฯลฯ ซึ่งวิลที่โตเป็นผู้ใหญ่วัยทำงานแล้วรู้สึกหงุดหงิดเสมอเวลาที่พ่อเล่าเรื่องเหล่านั้น เพราะมันเหมือนพ่อไม่อยู่ในโลกความเป็นจริงและมองเขาเป็นเด็กอยู่เสมอ หลังแต่งงานเขาจึงไม่เคยติดต่อกับพ่ออีกเลยเพราะรู้สึกหงุดหงิดรำคาญ’เรื่องเล่า’ของพ่อ
จนกระทั่งเมื่อรู้ว่าอาการของพ่อที่เป็นมะเร็งทรุดลง เขาจึงกลับไปดูแลอย่างใกล้ชิด แล้ววิลจึงรู้คุณค่าและความหมายที่แฝงไว้ใน ‘เรื่องเล่า’ แล้วทำให้ได้รู้สัจธรรมชีวิตว่ามีหลายอย่างที่คนในฐานะลูกมักเข้าใจพ่อผิดไป ซึ่งความเข้าใจผิดนี้เองที่เป็นอุปสรรคให้ความรักของพ่อกับลูกเหมือนมีกำแพงกั้นอยู่เรื่อยมา ถ้าจะมีการจัดอันดับหนังพ่อ-ลูกที่อยู่ในลิสต์’ต้องดู’เชื่อว่า Big Fish ต้องอยู่ในลิสต์อันดับต้นๆ สำหรับคนดูหนังทุกเพศทุกวัย
เริ่มต้นตอนที่เยซึงยังเด็ก เธอเคยอยากได้กระเป๋าเซเลอร์มูนสีเหลือง สองพ่อลูกเดินผ่านหน้าร้านขายกระเป๋าทุกวันรอเวลาพ่อมีเงินเก็บครบก็จะซื้อให้เยซึง แต่แล้วก็เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นมาก่อน พ่อของเยซึงตกเป็นผู้ต้องหาคดีฆ่าข่มขืนเด็กผู้หญิงลูกคนใหญ่คนโตในสังคม เขาต้องติดคุกพร้อมโทษประหาร ทั้งที่เขาไม่ได้ทำความผิด ส่วนลูกสาวที่อยู่แค่ชั้นประถมก็ไม่เหลือใครดูแลจึงถูกส่งให้ไปอยู่บ้านเด็กกำพร้า
ช่วงเวลาติดคุกรอการอุทธรณ์ พ่อของเยซึงถูกขังอยู่ในห้องขังหมายเลข 7 ที่นั่นเองที่เขาได้เพื่อนกลุ่มหนึ่งเป็นนักโทษที่แม้จะโดนคดีร้ายแรงแต่ก็มีนิสัยดี พวกเขาวางแผนช่วยให้เยซึงได้มาเยี่ยมพ่อและเยซึงเองก็เป็นเด็กฉลาด หัวไว ไหวพริบดี เธอจึงหลบหลีกการตรวจมาพบพ่อได้หลายครั้ง
Miracle in cell No.7 เป็นหนังอีกเรื่องที่เข้าข่าย ‘หัวเราะร่า น้ำตาริน’ ที่พูดถึงพ่อคนหนึ่งที่เป็นคนปัญญาอ่อน มีชีวิตอยู่ด้วยภารกิจเดียวคือพยายามทำให้ลูกมีความสุข แต่ด้วยข้อจำกัดในด้านสติปัญญา ทำให้เขาตกเป็นเหยื่อของความอยุติธรรม ซึ่งแม้จะมีส่วนเศร้าแต่ในขณะที่เราดูหนังก็จะพบอารมณ์ขันที่สอดแทรกได้อย่างลงตัวและยังมีการแสดงที่เรียกรอยยิ้มได้ทุกครั้งจากนักแสดงเด็กที่รับบทเยซึง
I am Sam ตั้งโจทย์ที่น่าสนใจว่า จะเป็นอย่างไร หากวันหนึ่งลูกเติบโตเกินพ่อซึ่งเป็นคนปัญญาอ่อนที่มีระดับสติปัญญาติดอยู่แค่ประมาณเด็กเจ็ดขวบ เมื่อลูกโตขึ้น พ่อจะยังสามารถเป็นผู้ปกป้อง ผู้ดูแลได้อยู่หรือไม่ ความเป็นพ่อจะลดน้อยลงหรือเปล่า
I am Sam เป็นหนังดราม่าที่มาพร้อมการแสดงที่ยอดเยี่ยมของ ฌอน เพนน์ ในบทคุณพ่อที่มีภาวะปัญญาอ่อนและมีปัญหาด้านพัฒนาการคล้ายกับกลุ่มโรคออทิสติก เขาเลี้ยงลูกสาวตามลำพังเพราะแม่ของเด็กทิ้งไปตั้งแต่แรกเกิด
แต่เมื่อลูกโตขึ้น ระดับพัฒนาการทางด้านสังคมและการเรียนรู้ของลูกเริ่มจะนำหน้าพ่อ สังคมรอบตัวจึงมองว่าภาวะปัญญาอ่อนของเขาไม่เหมาะกับการเลี้ยงดูลูก ทางหน่วยงานรัฐจะส่งลูกของเขาไปอยู่ภายใต้การดูแลของรัฐ ทำให้เขาต้องต่อสู้แย่งสิทธิในการเลี้ยงดูลูกกลับคืนมา
นอกจากจะเป็นหนังดีที่เด่นในแง่การแสดงและเด่นในการบิวต์อารมณ์คนดูให้ซาบซึ้ง ตัวหนังเองก็ตั้งอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง ไม่มีทีท่าโลกสวยหลอกลวงคนดูด้วยความรักในอุดมคติจนเกินไป และหนังเรื่องนี้ยังน่าจะถูกใจคนรัก The Beatles ด้วย เพราะใช้เพลงของ The Beatles มาเป็นเพลงประกอบหนังแถมลูกสาวในเรื่องยังชื่อลูซี่ ตามชื่อเพลง Lucy in the Sky with Diamonds
ม่อนแจ่ม ชมวิวสวยบนดอยสูง
Follow Facebook iconFacebookTwitter iconTwitterLINE iconLine
10 หนังดี มีความลับ ที่ผู้กำกับไม่ได้บอก (แต่เราจะเฉลย!!)
เมื่อความสนุกของผู้กำกับซ่อน 10 ฉากแห่งความลับเอาไว้ในหนังอย่างแนบเนียน เคยสังเกตกันบ้างไหมว่าฉากหนังแต่ละเรื่องนี้กำลังบอกอะไรเราอยู่ ความสนุกและน่าติดตามในหนังแต่ละเรื่องต่อไปนี้จะเพิ่มมากขึ้นเมื่อคุณรู้ว่าในแต่ละฉากนั้นมีมากกว่าภาพที่เราเห็น และนี่คือตัวอย่าง 10