หลังจากปล่อยตัวอย่างแรกของ X – Men: Apocalypse ทางเว็บไซต์ EmpireOnline ก็ได้ลงบทสัมภาษณ์ของ ไบรอัน ซิงเกอร์ ผู้กำกับของเรื่องที่พูดถึงตัวอย่างหนังของตัวเอง ซึ่งสามารถวิเคราะห์เป็นฉากต่อฉากได้ดังต่อไปนี้
ตัวอย่างหนังเปิดด้วยเงานิรนามกำลังเดินไปที่ Cerebro พร้อมกับตัดมาที่ฉากภัยพิบัติต่าง ๆ นา ๆ ทั้งการระเบิด ฝนฟ้าคะนอง เมืองที่เรียบหายเป็นหน้ากอง และอักษรอียิปส์โบราณปริศนา หลังจากที่ภาพตัดไปอย่างรวดเร็ว เราก็ได้เห็นใบหน้า จีน เกรย์ ครั้งแรก “คนนั้นคือ จีน แน่นอน” ไบรอัน ซิงเกอร์ผู้กำกับหนังภาคนี้พูดถึงตัวละครที่โซฟี่ เทอร์เนอร์รับบทในเรื่อง “ผมเธอทำให้เธอดูแปลกตาไปนิดนึง แต่ผมไม่อยากบอกว่าทำไมเธอถึงทำในสิ่งที่เธอกำลังจะทำหรอกนะ”
โดยฉากดังกล่าวก็ทำออกมาชัดเจนว่าภาพที่เห็นอยู่ในความฝันของจีน พอเธอสะดุ้งตื่นขึ้นมาก็เล่าสิ่งที่เธอเห็นให้กับชาร์ล ซาเวียร์ฟัง แต่ชาร์ลกลับบอกว่าทั้งหมดเป็นแค่ความฝัน ซึ่งแน่นอนว่านั้นไม่ใช่ความฝันธรรมดา ๆ อย่างที่ชาร์ลบอกแน่ ๆ “มันเป็นเรื่องความสามารถของพวกเขาล้วน ๆ” ก่อนที่ซิงเกอร์จะอธิบายถึงพลังของจีน เกรย์ต่ออีกว่า “จีนมีการเชื่อมต่อที่พิเศษกับซาเวียร์ เธอเชื่อมต่อกับโลกทางโทรจิตอย่างพิเศษได้และยังมีพลังมหาศาลที่ยังไม่ได้ใช้กำลังจะแพร่ขยายอยู่”
.gif)
ตัดมาที่ภาพมุมสูงที่เผยให้เห็นถึงสถาปัตยกรรมแบบยุโรปซึ่งสถานที่นั้นก็ไม่ใช่ที่ไหนแต่เป็นมหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ดที่ชาร์ล ซาร์เวียร์เคยเรียน โดยในฉากนี้เราจะได้ยินเพลง “The Hunted” ของ Snow Ghosts เป็นดนตรีประกอบ ซึ่งผู้กำกับอย่างซิงเกอร์ก็พูดถึงเพลงนี้ว่า “ผมรู้แล้วว่าเพลงนี้มันหลอนสุด ๆ ไปเลย”
และในที่สุดเราก็ได้ยินเสียงอโพคาลิปส์พูดขึ้นครั้งแรกด้วยน้ำเสียงอันอ่อนนุ่มที่สื่อถึงการมีส่วนร่วมในหลาย ๆ วัฒนธรรม ซึ่งในฉากเขาและโอโรโร่ มันโรหรือที่รู้จักกันในนาม สตอร์ม กำลังรวบรวมกำลังคนอยู่ ถึงแม้สุดท้ายสตอร์มจะกลายมาเป็นสมาชิกหลักของ X-Men แต่ตอนที่อโพคาลิปส์เจอเธอนั้นสตอร์มกำลังอยู่ในช่วงเสียใจ “เธอกำลังค้นหาพ่อแม่และหมู่บ้านที่หายสาบสูญของเธออยู่”
กลับมาที่ฉากใต้ดินเราจะเห็นคนยืนอยู่กัน 3 คน คนแรกทางซ้ายสวมผ้าคลุมคืออโพคาลิปส์ ถัดมาด้านขวาเราจะเห็นทรงผมโมฮอกของสตอร์ม ส่วนอีกคนที่ยืนไร้เส้นผมอยู่คนนั้นอาจเป็น คาลิบัน (Caliban) มนุษย์กลายพันธุ์ที่มีพลังในการค้นหาคนอื่น ๆ เหมือนกับ Cerebro ของซาเวียร์ “เขาทั้งหัวล้านและมีแววตาที่หดหู่” ไบรอัน ซิงเกอร์อธิบายลักษณะคาลิบันต่ออีกว่า “เขามีคาแร็คเตอร์ที่ดีนะ เจ๋งสุด ๆ ไปเลยละ”
ถัดมาเป็นฉากที่อโพคาลิปส์พูดถึงชื่อที่คนตั้งให้ที่ล้วนแล้วแต่เป็นชื่อเทพเจ้าทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็น รา พระกฤษณะ และ ยะโฮวาห์ ซึ่งสิ่งที่เขาต้องการก็คืออยากให้ผู้คนยกย่องเขาเช่นเทพเจ้าเหมือนก่อน แต่พอเขาตื่นมาทั้งหมดกลับไม่ได้เป็นอย่างที่เขาหวังไว้ “แทบไม่มีใครเคารพหรือบูชาเขา มันเป็นเรื่องอีโก้ของเทพเจ้าโบราณ” ไบรอัน ซิงเกอร์ให้สัมภาษณ์เสริมต่ออีกว่า “ทั้งหมดมันขาดหายไป ไม่สมส่วน ทั้งการจัดระเบียบและการให้ความเคารพบูชา จึงต้องมีการคัดเลือก จำเป็นที่จะต้องกวาดล้างและสร้างใหม่ขึ้นอีกครั้ง”
มาด้านฝั่ง X – Men กันบ้างครั้งนี้เราจะได้เห็น โรส เบิร์น กลับมารับบทเป็น มอยร่า แมคเทคเกิร์ต เจ้าหน้าที่ประจำหน่วย CIA ที่หายหน้าหายตาไปตั้งแต่ X-Men: First Class ซึ่งครั้งนี้เขาได้บอกข้อมูลเกี่ยวมนุษย์กลายพันธุ์คนแรกให้กับชาร์ลและ อเล็กซ์ ซัมเมอร์ส หรือ ฮาวอค ฟัง “อเล็กซ์เป็นตัวละครที่ดีมาก” ไบรอัน ซิงเกอร์กล่าว “ซาเวียร์ตัดสินใจไปหามอยร่ากับอเล็กซ์ แฮงค์จึงต้องรับผิดชอบโรงเรียนตอนที่เขาไม่อยู่”
อเล็กซ์ ซัมเมอร์นั้นเป็นพี่ชายแท้ ๆ ของ สก๊อต ซัมเมอร์ส หรือไซคอร์บ มีพลังในการปล่อยรังสีวงแหวนความร้อนคล้าย ๆ กับน้องชาย แต่เพียงปล่อยออกมาทางลำตัว
ในเทลเลอร์เองมีฉากหนึ่งที่ใบหน้าของอโพคาลิปส์โดนบัง สำหรับคนดูอย่างเราคงรู้สึกเฉย ๆ กับฉากดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตามไบรอัน ซิงเกอร์กลับคิดต่างออกไป “ผมชอบนะที่คุณ (คนดู) ได้เห็นภาพส่วนประกอบเป็นชิ้น ๆ แบบนี้” ก่อนจะอธิบายเพิ่ม “มันบังคับไม่ให้คุณมองแค่หน้า แต่ให้มองไปยังเสื้อผ้า ขนาด ความแปลกตา … มันทำให้คุณอยากจะมองไปมุมรอบ ๆ”
กลับมาที่เนื้อหาที่อโพคาลิปส์พูดในฉาก เขาพยายามโน้มน้าวโดยการบอกว่าทุก ๆ คนเป็นลูกหลานของเขา และภาพก็ตัดมาที่มนุษย์กลายพันธุ์รุ่นใหม่อย่างรวดเร็วที่ประกอบไปด้วย Beast, Mystique, Nightcrawler และ Jubilee ซึ่งผู้กำกับวัย 50 ก็พูดถึงมนุษย์กลายพันธุ์รายหลังเอาไว้ว่า “ผมใส่จูบีลี่ไว้ในเรื่องด้วยเหตุผลเฉพาะ มันมีฉากหนึ่งที่ไม่มีเธออยู่ในนั้น บทของเธอไม่ได้ใหญ่โตอะไร แต่เธอเป็นส่วนหนึ่งในการขยายจักรวาลใหม่”
นอกจากอโพคาลิปส์จะโน้มน้าวด้วยการอ้างว่าคนอื่น ๆ เป็นลูกหลานของตนแล้ว เขายังโจมตีชาร์ล ซาเวียร์ด้วยการบอกว่าเป็นผู้นำตาบอดอีกด้วย “คนนี้คือคนที่เราต้องพูดถึง” ก่อนที่ซิงเกอร์อธิบายเพิ่ม “ในตอนแรกของเรื่องชาร์ลเป็นคนแบบในอุดมคติ แต่เขาก็มาตาสว่างเมื่ออโพคาลิปส์ตื่นขึ้น”
ฉากต่อไปก็เฉลยว่าคนที่อโพคาลิปส์กำลังพูดด้วยอยู่นั่นคือ อิรีค หรือ แม็กนีโต นี่เอง เขากำลังโน้มน้าวแม็กนีโตให้มาเป็นพวก แต่คนที่มีความเป็นผู้นำอย่างแม็กนีโตจะยอมเป็นผู้ตามง่าย ๆ เลยหรอ “อะโพคาลิปส์เจออีริคอยู่ในสถานที่ที่ทรงคุณค่าที่สุดในชีวิต” ซิงเกอร์อธิบายถึงสาเหตุที่แม็กนีโตยอมเข้าไปเป็นพวก “เขา (อีริค) กำลังมองหาพระเจ้าอยู่ จำได้ไหม เขายังเป็นชาวยิวตัวเล็ก ๆ ในค่ายกักกันอยู่เลยตอนที่เสียครอบครัวไปครั้งแรกนั่นอะ และตอนนี้เขาก็อยู่ต่อหน้าชายที่เป็นหรืออ้างตนว่าเป็นพระเจ้า แล้วก็นะการโน้มน้าวใจคนก็เป็นพลังที่แข็งแกร่งที่สุดของอโพคาลิปส์อีกด้วย”
ตัดกลับมาที่ฝั่ง X – Men เจ้าหน้าที่มอยร่ากำลังอธิบายถึงสี่จตุรอาชาซึ่งอโพคาลิปส์ก็เลือก สตอร์ม อาร์คแอนเจิล ไซล็อค และ แม็กนีโต มาเป็นพวก
ฉากกองทัพอะโพคาลิปส์บุกฐาน X-Men ฉากนี้ก็เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญของเรื่อง เพราะเป็นฉากที่แม็กนีโตจับตัวซาเวียร์ไปซึ่งนี้อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เรเวนต้องรวบรวมกำลังคนเพื่อไปชิงตัวชาร์ลกลับมา
“หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการก่อตั้ง X-Men” ซิงเกอร์พูดถึงฉากที่เรเวนปลุกระดมให้ลุกขึ้นสู้ “คุณจะทำยังไงให้ตัวละครพวกนี้ที่อยู่กันคนละที่มารวมตัวเป็นทีม X-Men ได้ นั่นละคือสิ่งที่ท้าทายสำหรับหนังเรื่องนี้”
ซึ่งในฉากนี้เราก็ได้เห็นแฮงค์พูดอยู่กับเรเวนและเมื่อเราย้อนกลับไปยังภาค Day of Future Past เราจะพบว่าทั้งสองนี้มีประเด็นกันอยู่ โดยไบรอัน ซิงเกอร์ก็ออกมาบอกใบ้ว่า “แฮงค์ตกหลุมรักเรเวนอยู่” ทำให้เราอาจเห็นความโรแมนติกเล็ก ๆ ระหว่างการต่อสู้ที่ดุเดือดก็เป็นได้
ต่อมาเป็นฉากที่กลุ่ม X-Men สายเลือดใหม่อยู่ในยานนำทีมโดย ราเวน, แฮงค์, จีน เกรย์, ควิ๊กซิลเวอร์, สก๊อต ซัมเมอร์ส และมอยร่า แต่ไม่มีชาร์ล ซาเวียร์อยู่บนยานทำให้ความเป็นไปได้ว่าทีมนี้กำลังบุกไปช่วยซาเวียร์มีความเป็นไปได้สูงขึ้น
ต่อมาก็เหมือนพวกเขาจะโดนจับกุมมี ราเวนหรือมิสทีคในร่างสีฟ้า ควิกซิลเวอร์ มอยร่า และ บีสท์ร่างสีฟ้าเช่นกัน ซึ่งมีข้อสังเกตตรงที่นี้เป็นฉากแรกและฉากเดียวที่มิสทีคอยู่ในร่างสีฟ้า หรือว่าที่ ๆ เขาอยู่ทำให้ใช้พลังไม่ได้หรือผ่านการต่อสู้มาก่อน
ถัดไปเป็นฉากที่ทีม X – Men รุ่นเยาว์อยู่ท่ามกลางซากปรักหักพัก และสก๊อตก็เอ่ยปากถามถึงการควบคุมพลังกับราเวน “เป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องสื่อว่าพวกเขาเหล่านี้ยังเป็นเด็กอยู่” ไบรอัน ซิงเกอร์ให้สัมภาษณ์ต่ออีกว่า “มันไม่มีใครหรอกที่มาอยู่ตรงนี้ได้ยกเว้นพวกเขาแต่ไงก็ตามพวกเขาก็ยังเป็นเด็กอยู่ดี”
และด้วยความที่ยังเป็นเด็กทำให้ต้องมีผู้นำซึ่งก็คงหนีไม่พ้นมีสทีค แต่เธออยากเป็นผู้นำจริง ๆ หรอ “เธอทำงานคนเดียว สิ่งสุดท้ายและท้ายสุดในโลกที่เธอต้องการคือการเข้าทีม X – Men แต่เราหาจุดหนึ่งที่ตัวละครแต่ละตัวอยู่และพาพวกเขาไปด้านที่ตรงข้ามสุด ๆ จากเริ่มแรก”

ชาร์ล ซาเวียร์ต่อยประสานหมัดกับอะโพคาลิปส์แต่อะโพคาลิปส์ขยายร่างแล้วใช้มือกดทับเอาไว้ “ตอนท้ายของเรื่องจะกลายเป็นสงครามเต็มรูปแบบด้วยพลังที่น่าเกรงขาม อะโพคาลิปส์เป็นคนหนึ่งที่ยากจะต่อกรด้วย นี้คือสาเหตุที่เขาคิดว่าตัวเองเป็นพระเจ้า” และในฉากนี้หลายคนก็ต่างคิดว่าเป็นการต่อสู้ในกระแสจิตหรือภาพนิมิตเพราะเห็นซาเวียร์ยืนขึ้นมาได้
ส่วนการขยายร่างของอะโพคาลิปส์แต่เดิมก็เป็นความสามารถหนึ่งที่มีในคอมิคอยู่แล้ว “ผมใส่อะไรบางอย่างเข้าไปในการขยายร่างนะ คิดว่าคนดูน่าจะชอบ” ไบรอัน ซิงเกอร์กล่าว

หลังฉากนี้ก็ไม่ค่อยมีอะไรนอกจากฉากโชว์ความสามารถตัวละครเริ่มจากควิกซิลเวอร์ซึ่งเป็นฉากที่ผู้กำกับบอกว่าถ่ายทำกันด้วยความยากลำบากกว่า 17 วัน
ตามมาด้วยจตุรอาชา อาร์คแอนเจิลที่ก่อนอะโพคาลิปส์มาเจอจะใช้ชื่อว่า แอนเจิล (เหมือนที่เราเห็นใน X-Men: The Last Stand) แต่หลังจากอะโพคาลิปส์เจอเขาก็ปรับเปลี่ยนปีกให้กลายเป็นโลหะสีเงินและใช้ชื่อว่าอาร์แอนเจิลตั้งแต่นั่นเป็นต้นมา
ต่อด้วยสตอร์ม
และตามมาติด ๆ ด้วยแม็กนีโต ซึ่งซิงเกอร์ก็พูดถึงตัวละครหลังสุดนี้ว่า “เขาเป็นหนึ่งในตัวละครที่สำคัญที่สุด”
“ฟานเบนเดอร์ (นักแสดงที่รับบทเป็นแม็กนีโต) การแสดงของเขาไม่ได้อิงตามคอมิค มีหลายฉากที่คุณไม่เคยเห็นจากหนังคอมิคมาก่อน ผมว่านะอีริคอยู่บนเส้นทางที่ซับซ้อนที่สุดสายหนึ่งในเรื่อง”
ต่อมาด้วยฉากสโลว์โมชั่นในห้องสมุดที่มีการระเบิด ที่เป็นฉากเอกลักษณ์ของควิ๊กซิลเวอร์ “โทนมันจะแตกต่างจากตอนเพนตากอน (ในภาค DOFP) แล้วก็หวานอมขมกลืนนิดนึง … ผมบอกแค่นี้ละ”
ตัดมาฉากไฮไลท์สำคัญของตัวอย่างนี้ก็คงพ้นตอนสุดท้ายที่ชาร์ล ซาเวียร์อยู่ในชุดสูทแบบผู้ใหญ่และโกนหัว “ผมอยากให้คนดูรู้ว่าฉากนี้ไม่ใช่ไคล์แม็กซ์ของหนัง 3 ภาคนะ” ซิงเกอร์อธิบายต่อ “แต่มันคือฉากไคล์แม็กซ์ทั้ง 6 ภาคเริ่มตั้งแต่ X-Men 1” นอกจากนี้เก้าอี้ก็ยังเป็นเก้าอี้ตั้งแต่ภาคแรกอีกด้วย “มันเป็นเก้าอี้ตัวเดิมจากภาคแรก เราซื้อมาจากนักสะสม”