Home > รีวิวซีรีย์ > รีวิว Romeo and Juliet

รีวิว Romeo and Juliet

โพสเมื่อ วันที่ 18 April 2016 | เปิดอ่าน 1,288 views | หมวดหมู่ : รีวิวซีรีย์

รีวิวหนัง : [Movie] รีวิว Romeo and Juliet

อีกหนึ่งประเภทของหนังที่ถือเป็นความท้าทายสำหรับทีมผู้สร้างเป็นอย่างมาก นอกจากหนังประเภทชีวประวัติแล้วก็มีหนังที่รีเมคจากสิ่งที่คนยกย่องและให้คำจำกัดความว่า “คลาสสิค” นี่ล่ะ เนื่องจากคำว่าคลาสสิคนั้นนอกจากจะเป็นตัวบ่งบอกถึงความดี ความสนุกที่คงอยู่อมตะมาหลายยุคหลายสมัยแล้วนั้น ยังถือว่าเป็นเรื่องยากที่จะเล่าในสิ่งที่คนดูรู้จนหมดเปลือกหมดแล้วตั้งแต่ฉากต้นยันฉากจบ ทำให้ทุกครั้งเมื่อมีหนังประเภทนี้ขึ้นมาก็มักที่จะถูกจับตามองและตั้งแง่ไว้ก่อนว่าจะทำลายความคลาสสิคที่พวกเขาเคยรับรู้กันได้หรือไม่ โดย Romeo and Juliet ก็นับว่าเป็นอีกเรื่องราวความรักที่สุดแสนจะคลาสสิคเรื่องหนึ่งที่ถูกหยิบยกมาถ่ายทอดมาแล้วหลากหลายรูปแบบอยู่บ่อยครั้ง หรือหากเปรียบไปก็เสมือนบ้านทรายทอง หรือดาวพระศุกร์ของบ้านเราดีๆ นี่เอง
ทำให้ที่ผ่านมานั้น Romeo and Juliet มักถูกสร้างในแบบตีความใหม่ๆ เพื่อลดความซ้ำซากจำเจลงไป ซึ่งจากที่ผมเคยได้ดูมาบ้างก็จะเป็นเวอร์ชั่นของ บาซ เลอมาน ที่มีลีโอนาโด ดีคราปริโอ มารับบทเป็นหนุ่มโรมิโอรูปงาม แต่ด้วยฉากหลังที่แปลกไปในบรรยากาศแก๊งสเตอร์ก็ทำให้หนังดูมีอะไรใหม่และน่าสนใจขึ้นเป็นกอง รวมไปถึงการดัดแปลงโครงเรื่องของ Romeo and Juliet ชนิดที่แทบไม่เหลือเค้าเดิมอย่าง Warm bodies ที่มีธีมหนังเป็นซอมบี้ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน จนกระทั่งมาถึงปี 2013 นี้ก็ได้มี Romeo and Juliet มาอีกเวอร์ชั่นหนึ่ง แต่สิ่งที่น่าสนใจในเวอร์ชั่นนี้ก็คือการกลับไปสู่รากเหง้าและความเป็น Romeo and Juliet ฉากหลังที่เป็นยุคเก่าอย่างแท้จริงจนยากที่จะไม่ให้ความสนใจ
ด้วยเจตนาของผู้สร้างที่ประกาศเจตนารมณ์ค่อนข้างชัดเจนในบทสัมภาษณ์ว่า Romeo and Juliet ในแบบของเขานั้นจะเป็นในรูปแบบที่ดูง่ายสำหรับทุกคน โดยที่ไม่ต้องอาศัยหลักวิชาการของเช็คสเปียร์มาตีความเนื้อหาแต่อย่างใด ซึ่งหลังจากที่ได้ชมก็พบว่าหนังทำเช่นนั้นได้จริงๆ และที่น่าสนใจกว่านั้นแม้ว่าเรื่องราวจะเล่าให้เข้าใจง่าย แต่แทนที่บทพูดของนักแสดงจะเป็นบทพูดธรรมดาเหมือนหนังทั่วไป กลับถูกแทนที่ด้วยบทกลอนจากตัวต้นฉบับจริงๆ เลยทำให้ Romeo and Juliet เวอร์ชั่นนี้ก็ดูแปลกไปอีกแบบ รวมไปถึงงานโปรดักชั่นที่ค่อนข้างทำออกมาดี ทั้งฉากหลังที่เมืองทำออกมาได้สวย รวมไปถึงคอสตูมต่างๆ ที่แม้ว่าจะเป็นชุดย้อนยุคเสียส่วนใหญ่ แต่ดูๆ ไปกลับรู้สึกถึงความทันสมัยได้อย่างน่าประหลาดใจ
อีกส่วนหนึ่งที่น่าสนใจของ Romeo and Juliet เวอร์ชั่นนี้ก็คือการยกทัพนักแสดงน้อยใหญ่มาอย่างคับคั่ง ทั้ง Damian Lewis (พระเอกในHomeland), Ed Westwick (ชัค แบส ใน Gossip Girls), Hailee Steinfeld(จาก True Grit) และPaul Giamatti อีกด้วย ซึ่งแต่ละคนก็มีซีนที่แสดงพลังการแสดงของตัวเองได้น่าสนใจ แต่สิ่งหนึ่งที่น่าเสียดายก็คือตัวพระเอกโรมิโอเองที่อาจดูหน้าใหม่ไปหน่อย รวมไปถึง Hailee Steinfeldที่พลิกบทบาทมารับบท Juliet ทำให้เคมีของทั้งคู่ดูไม่ค่อยเข้ากันอย่างบอกไม่ถูก อีกทั้งพลังการแสดงที่ยังไม่ค่อยถึงขั้นทำให้บทกลอนที่ดูมีความหมายกลับกลายเป็นสิ่งจืดๆ เมื่อออกมาจากปากนักแสดงหลักอย่างบอกไม่ถูก จนทำให้นี่จึงเป็นข้อด้อยจุดสำคัญที่เห็นในหนังได้อย่างเห็นได้ชัด แต่ยังดีที่ว่าในฉากหลังๆ นั้นนักแสดงตัวหลักทั้งสองนี้ก็เริ่มดีขึ้นไม่เช่นนั้นคงเป็นหายนะแก่หนังเรื่องนี้แน่ๆ
โดยส่วนตัวแล้วแม้ว่าปกติจะไม่ค่อยชอบหนังพีเรียดสักเท่าไร แต่ก็ยังรู้สึกสนุกไปกับ Romeo and Juliet ในเวอร์ชั่นนี้ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะหนังเดินเรื่องค่อนข้างกระชับดี มีจุดอืดบ้างแต่ก็ไม่นานเกินควร อีกทั้งยังทำให้คนดูรู้สึกติ่นเต้น แอบหวังลึกๆ และเอาใจช่วยความรักของคนทั้งคู่ในฉากไคลแม็กซ์เผื่อว่าจะมีเหตุพลิกผันบ้างแม้ว่าจะรู้จุดจบของเรื่องราวอยู่แล้วก็ตาม ซึ่งหากใครชอบหนังที่ตัวละครพ่นบทกลอนเพราะๆ หวานซึ้ง ชวนฝันแทนคำพูดธรรมดาๆ รวมไปถึงความเวิ่นเว้อในอารมณ์ประมาณละครเวทีแล้วละก็ Romeo and Juliet เวอร์ชั่นนี้น่าจะเป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับคุณไม่น้อยครับ
ขอบคุณรีวิวจาก http://chizanukrg.blogspot.com

ดูหนังตัวอย่าง [Movie] รีวิว Romeo and Juliet