Home > รีวิวหนัง > 10 เรื่องที่คุณไม่เคยรู้เกี่ยวกับ จิม แครี่

10 เรื่องที่คุณไม่เคยรู้เกี่ยวกับ จิม แครี่

โพสเมื่อ วันที่ 3 May 2016 | เปิดอ่าน 1,200 views | หมวดหมู่ : รีวิวหนัง

จิม แครี่

“พ่อของผมเป็นนักดนตรีที่ต้องออกมาประกอบอาชีพธรรมดาทั่วไปเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว แต่เมื่อเขาเสียงานดังกล่าว ครอบครัวเราล้มเหลวอย่างหนัก เราเปลี่ยนจากชนชั้นกลางค่อนล่างไปเป็นครอบครัวยากจน ต้องอาศัยหลับนอนบนรถแวน ผมต้องออกจากโรงเรียนตอนอายุ 15 เพื่อทำงานเป็นภารโรงหาเงินช่วยเหลือครอบครัว”

นี่คือคำสัมภาษณ์ของจิม แครี่ย์ บอกเล่าถึงชีวิตวัยเด็กซึ่งแม้จะเริ่มต้นอย่างยากลำบาก แต่เขาก็ฝันอยากเป็นนักแสดงตลกมาตลอด ใครจะไปคิดว่าเด็กอายุ 10 ขวบจะส่งเรซูเม่แนะนำตัวเองไปยังรายการ The Carol Burnett Show (รายการตลกเป็นตอนสั้น ๆ 2-3 นาที) ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่อย่างน้อยพ่อของเขาก็สนับสนุนให้เขาเดินในเส้นทางที่ต้องการ แม้สถานภาพทางการเงินจะไม่เอื้ออำนวยเท่าที่ควร

และนี่คือ 10 เรื่องที่คุณอาจไม่เคยรู้เกี่ยวกับ จิม แครี่ย์ ครับ

01
ชีวิตการแสดงตลกอาชีพครั้งแรกของเขาเริ่มต้นด้วยการแสดงเลียนแบบที่ Yuk Yuk’s คลับ
ตัวอย่างการแสดงเลียนแบบของจิม แครี่ย์

แต่หนทางที่ทำให้เขามุ่งสู่การเป็นนักแสดงฮอลลีวูดก็คือการเริ่มแสดงตลกเดี่ยวยามค่ำคืน จนไปเตะตา รอดนี่ย์ แดงเจอร์ฟิลด์ นักแสดงตลกชื่อดังที่ได้จับจิม แครี่ย์เซ็นสัญญาให้มาแสดงเปิดในการเดินทางออกทัวร์ของเขา ซึ่งการร่วมงานเป็นได้ด้วยดี รอดนี่ย์จึงได้พาเขาไปลาส เวกัส อันเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่แวดวงฮอลลีวูด

เส้นทางการแสดงหนังของเขาเริ่มขึ้นครั้งแรกจากการปรากฎตัวในซีรี่ส์ทางโทรทัศน์ในปี 1980 และเวียนวนอยู่กับการเป็นนักแสดงสมทบในหนังฟอร์มเล็กและซีรี่ส์ยาวนาน 14 ปี ก่อนจะรับบทเป็นนักแสดงนำครั้งแรกในหนังเรื่อง Ace Ventura: Pet Detective ปี 1994

02
เปิดตัวเปรี้ยงปร้าง
เริ่มต้นการแสดงนำปี 1994 ของเขาประสบความสำเร็จอย่างสูงทันที ผลงานของเขา 3 เรื่อง (Ace Ventura: Pet Detective, The Mask, Dumb & Dumber) มีรายได้รวมกัน 706 ล้านเหรียญ โดยตอนแสดง Ace Ventura: Pet Detective นั้นเขาได้ค่าตัวแค่ 350,000 เหรียญเท่านั้น แต่พอหนังออกฉายประสบความสำเร็จรายได้ขึ้นที่ 1 Box Office เขาก็ได้รับการทาบทามจากโปรดิวเซอร์ Dumb & Dumber ทันทีด้วยค่าตัว 7 ล้านเหรียญ เกือบจะครึ่งหนึ่งของทุนสร้างหนัง ก่อนที่หนังจะกวาดรายได้ทั่วโลกไปเกือบ 250 ล้านเหรียญ
03
นักแสดงคนแรกที่ได้ค่าตัว 20 ล้านเหรียญ
นับเป็นก้าวกระโดดที่รวดเร็วเหมือนกัน เพราะเขาเริ่มต้นแสดงนำได้เพียง 2 ปีก็สามารถขยับค่าตัวจาก 350,000 เหรียญเป็น 20 ล้านเหรียญในการเซ็นสัญญาแสดงนำหนังเรื่อง The Cable Guy (1996) โดยเป็นนักแสดงคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้รับรายได้สูงขนาดนี้ และที่ชวนอึ้งกว่านั้นคือเขาไม่ใช่ตัวเลือกแรกสำหรับบทนี้ด้วยซ้ำ

แม้หนังจะประสบความล้มเหลวในแง่คำวิจารณ์ และรายได้ทั่วโลกก็จบลงแค่ 100 ล้านเหรียญ แต่สตูดิโอ Universal ก็ยังไว้วางใจที่จะจ่ายตัวให้เขา 20 ล้านเหรียญ เพื่อแสดงนำในหนังคอเมดี้เรื่อง Liar, Liar ซึ่งประสบความสำเร็จทั้งเสียงตอบรับจากนักวิจารณ์และคนดู รวมถึงกวาดรายได้ทั่วโลกไปถึง 302 ล้านเหรียญ

04
แจ็ค นิโคลสันคนต่อไป
ครั้งหนึ่งแจ็ค นิโคลสัน นักแสดงชายเจ้าของรางวัลออสการ์ 3 ครั้งได้กล่าวชื่นชมจิม แครี่ย์ว่าเขาจะเป็น “แจ็ค นิโคลสันคนต่อไป”

แม้จิม แครี่ย์จะไม่เคยได้รับการเสนอเข้าชิงออสการ์เลยแม้แต่ครั้งเดียว (ขณะที่แจ็ค นิโคลสันเคยเข้าชิงถึง 12 ครั้ง) แต่ว่าผู้ชมที่เคยผ่านตาการแสดงของทั้งคู่มักจะพูดถึงวิธีการแสดงที่เหมือนกันของทั้งคู่ เพียงแต่จิม แครี่ย์ยังไม่ได้รับบทการแสดงหิน ๆ ให้เจ้าตัวได้โชว์ฝีมือด้านดราม่าแบบที่คณะกรรมการออสการ์ชื่นชอบ ไม่แน่ว่าถึงเวลานั้นออสการ์อาจจะประเคนรางวัลมาให้นักแสดงมากคุณภาพอย่างเขาก็เป็นได้

05
พกเช็ค 10 ล้านเหรียญติดตัวนาน 10 ปี
นับเป็นแรงกระตุ้นในการทำงานที่ยอดเยี่ยมมาก ๆ ของจิม แครี่ย์ เพราะเขาเขียนเช็คสั่งจ่ายตัวเอง 10 ล้านเหรียญติดไว้กระเป๋าสตางค์ตลอดเวลา

ในปี 1985 เป็นช่วงที่จิม แครี่ย์เริ่มตระหนักว่าการประสบความสำเร็จในฮอลลีวูดเป็นเรื่องที่ยาก เขาจึงเขียนเช็คมูลค่า 10 ล้านเหรียญเพื่อให้ตัวเองรู้สึกดี และเป็นตัวกระตุ้นให้เขากระตือรือร้นจะขึ้นเงินเช็คใบนี้ให้ได้ จนกระทั่ง 10 ปีต่อมาเขาก็ทำสำเร็จ เขาจึงนำเช็คดังกล่าวใส่ในหลุมศพของพ่อผู้สนับสนุนเส้นทางอาชีพของเขามาตั้งแต่เด็ก

06
พลาดบทกัปตันแจ็ค สแปร์โรว์ให้จอห์นนี่ เดปป์
นับเป็นเรื่องน่าเสียดายเหมือนกันสำหรับแฟนหนังที่อยากเห็นจิม แครี่ย์กลายเป็นโจรสลัด โดยนอกจากนี้เขาเคยได้รับการพิจารณาให้มารับบท ‘วิลลี่ วองก้า’ ใน Charlie and the Chocolate Factory (2005) แต่สุดท้ายบทก็ตกเป็นของจอห์นนี่ เดปป์เช่นเคย
07
เกือบได้ร่วมงานกับโนแลน
ครั้งหนึ่งก่อนที่มาร์ติน สกอร์เซซี่จะกำกับหนังเรื่อง The Aviator (2004) ที่มีลีโอนาร์โด้ ดิคาปริโอแสดงเป็นโฮเวิร์ด ฮิวจ์ (มหาเศรษฐีผู้ชื่นชอบเครื่องบิน)

โนแลนได้เขียนบทหนังชีวประวัติของโฮเวิร์ด ฮิวจ์โดยระบุว่า “เป็นบทหนังที่ดีที่สุดเท่าที่เขาเคยเขียนมา” โดยนักแสดงที่จะรับบทดังกล่าวก็คือจิม แครี่ย์ ก็ได้แต่หวังว่าสักวันโนแลนจะหยิบบทหนังดังกล่าวมาปัดฝุ่นทำใหม่นะครับ

08
เคยแสดงหนังแลกกับส่วนแบ่งรายได้
นับเป็นความเสี่ยงครั้งสำคัญครั้งหนึ่งในชีวิตการแสดงของ จิม แครี่ย์ เลยก็ว่าได้ เพราะเขาตอบตกลงแสดงหนังเรื่อง Yes Man โดยมีค่าตอบแทนคือส่วนแบ่ง 36.2% ของจำนวนรายได้ในประเทศทั้งหมด ซึ่งทำให้เขาได้เงินจากหนังเรื่องนี้สูงที่สุดในชีวิตการแสดงคือประมาณ 35 ล้านเหรียญ
09
ผู้สร้างสรรค์ตัวละคร ‘เกร็ก ฟ็อคเกอร์’ ใน Meet the Parents
หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าเบื้องหลังตัวละครขวัญใจผู้ชมจากหนังดังเรื่อง Meet the Parents นั้นเคยเกือบเป็นบทของจิม แครี่ย์ โดยเขาเป็นผู้สร้างสรรค์ตัวละครดังกล่าวขึ้นมาในระหว่างประชุมเรื่องการสร้างหนัง แต่สุดท้ายเขาก็เห็นว่าเบ็น สติลเลอร์เพื่อนของเขาเหมาะสมกับบทนี้มากกว่า จึงน่าเสียดายที่ไม่ได้เห็นจิม แครี่ย์ในหนังเรื่องนี้ครับ
10
มักได้รับบทขี้แพ้ที่อยากเป็นที่จดจำ
ไม่รู้จะมีใครสังเกตไหมว่าผลงานการแสดงของเขาส่วนมากจะได้รับบทขี้แพ้ที่อยากเป็นที่จดจำ เช่น Dumb & Dumber (1994), The Mask (1994), Batman Forever (1995), Man on the Moon (1999), How the Grinch Stole Christmas (2000), Bruce Almighty (2003) และ Lemony Snicket’s A Series of Unfortunate Events (2004) ซึ่งล้วนเป็นหนังที่สร้างชื่อเสียงให้แก่จิม แครี่ย์ด้วย

ครบทั้ง 10 ข้อที่คุณอาจไม่เคยรู้เกี่ยวกับจิม แครี่ย์ เราขออนุญาตแถมให้อีก 1 ข้อคือ

11
มีหนังดังของจิม แครี่ย์หลายเรื่องให้ดูผ่าน HOLLYWOOD HDTV
เรามีผลงานของจิม แครี่ย์ในเดือนนี้จำนวน 8 เรื่อง ได้แก่ The Mask, Dumb & Dumber, Fun With Dick And Jane, Yes Man, Liar Liar, Bruce Almighty, Batman Forever และ Lemony Snicket’s A Series of Unfortunate Events

  • ข่าวที่น่าสนใจ
  • ข่าวที่เกี่ยวข้อง
  • 10 หนังดี มีความลับ ที่ผู้กำกับไม่ได้บอก (แต่เราจะเฉลย!!)
    เมื่อความสนุกของผู้กำกับซ่อน 10 ฉากแห่งความลับเอาไว้ในหนังอย่างแนบเนียน เคยสังเกตกันบ้างไหมว่าฉากหนังแต่ละเรื่องนี้กำลังบอกอะไรเราอยู่ ความสนุกและน่าติดตามในหนังแต่ละเรื่องต่อไปนี้จะเพิ่มมากขึ้นเมื่อคุณรู้ว่าในแต่ละฉากนั้นมีมากกว่าภาพที่เราเห็น และนี่คือตัวอย่าง 10